วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

15 สิ่งที่ควรเริ่มต้นทำในปีใหม่นี้ ถ้าอยากให้ชีวิตดียิ่งขึ้น

1. ปรับปรุงรูปร่างของตัวเอง

ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการตะบี้ตะบันลดความอ้วนนะคะ แต่หมายถึงการดูแลตัวเองให้มีรูปร่างสมส่วน ใครผอมไปก็ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อสักหน่อย ใครใส่ยีนส์ตัวโปรดแล้วเริ่มอึดอัดก็ควรหาเวลาออกกำลังกายได้แล้ว การดูแลรูปร่างให้สมส่วนน่ามองด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากจะทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเองแล้ว ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วยค่ะ

2. กินอาหารเพื่อสุขภาพ

อยู่ดีๆ จะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองกินแต่อาหารเพื่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ ปรุงแต่งรสชาติน้อย แบบนั้นถ้าใครทำได้มันก็ดีค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นมนุษย์ประเภท enjoy eating สุดๆ และยังไม่พร้อมหักดิบขนาดนั้นก็ไม่ใช่ความผิดอะไร แค่ลดของมันๆ ทอดๆ ลดของหวานลงหน่อย แล้วเพิ่มผักผลไม้มากขึ้นในแต่ละมื้ออาหาร เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมแล้ว

3. ใช้เวลากับเรื่องไร้สาระให้น้อยลง

คนนู้นคนนี้เลิกกัน ดาราแต่งตัวโป๊ เรื่องพวกนี้เมาท์กันเพลินๆ ก็สนุกปากดีค่ะ แต่อย่าไปใช้เวลากับมันมากเกินไปนัก ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ

4. ใช้เวลากับมุ่งสู่เป้าหมายให้มากขึ้น

คนเรามีเป้าหมายหลากหลาย ทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว ลองวางแผนชีวิตให้ดี จัดลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่องให้เหมาะสม (เช่น เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คให้น้อยลง เพื่อเอาเวลามาฝึกภาษาอังกฤษให้มากขึ้น) ทบทวนตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่คุณสนใจพิเศษ และลองใช้เวลาเอาจริงเอาจังกับสิ่งนั้นให้มากขึ้นดูไหมคะ

5. ตัดคนที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตไปบ้าง

เคยได้ยินกลอนสั้นๆ ที่ว่า ‘อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนเกลือดีมีน้อยด้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล’ ไหมคะ ลองมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมาสิว่า ใครบ้างที่มีแต่สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้เราตลอดเวลา ถ้าเอาตัวออกห่างได้ชีวิตก็น่าจะดีขึ้นไม่น้อยนะคะ หรือคนรักที่คบกันไปก็ดูไม่น่าจะรอดแน่ๆ ลองห่างกันสักพักให้แต่ละคนได้มีเวลาทบทวนความสัมพันธ์ดีกว่าไหม

6. ลาออกจากงานที่เกลียดซะ

บางคนไม่กล้าลาออกจากงานที่ไม่ชอบ เพราะกลัวสูญเสียความมั่นคงทางการเงิน แต่การทนอยู่กับสิ่งที่เกลียดมีแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกเบื่อหน่ายทุกครั้งเมื่อต้องตื่นไปทำงาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่มีกระจิตกระใจจะพัฒนาตัวเอง แบบนี้ถอยออกมาตั้งหลักก่อนดีไหมคะ

7. เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าตัดสินใจด้วยตัวเองให้มากขึ้น

โดยธรรมชาติแล้ว คนเรามีบุคลิกความเป็นผู้นำมากน้อยไม่เท่ากัน ซึ่งหากทำงานร่วมกันก็จะค่อนข้างเห็นชัดเลยค่ะว่าใครเป็นคนแบบไหน และถึงแม้จะแตกต่างก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะคนทั้งสองแบบสามารถช่วยเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายขาดไปได้ แต่สำหรับการใช้ชีวิต ไม่มีใครมาเป็นผู้นำและตัดสินใจให้เราได้ดีพอในทุกๆ เรื่อง ฉะนั้น ใครที่พึ่งพาแต่คนอื่นมาโดยตลอด ควรเริ่มต้นฝึกตัดสินใจด้วยตัวเองบ้างนะคะ

8. ใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

คนส่วนใหญ่ยิ่งเติบโตขึ้น ก็ยิ่งมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่พวกเขาก็คือคนที่รักเรามากที่สุด แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งการไปเที่ยว ไปสังสรรค์กับเพื่อนที่พูดจาภาษาเดียวกัน มันย่อมสนุกกว่าไปกับครอบครัว แต่อย่าลืมแบ่งเวลาให้พ่อแม่ที่รอกินอาหารมื้อพิเศษกับเราบ้างนะคะ

9. คิดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

ถ้าต้องเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับตัวเองหนึ่งเรื่อง เลือกได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นในชีวิต คุณจะเลือกเขียนถึงเรื่องอะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณรักและหลงใหลมากที่สุด อะไรคือความสำเร็จสูงสุดในชีวิต อะไรที่ทำแล้วมีความสุขมากที่สุด หากยังหาไม่เจอหรือหาเจอแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จ เริ่มลงมือสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สายนะคะ

10. เลือกรับสารอย่างเหมาะสม

ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์คที่บนไทม์ไลน์มีคนแชร์ข่าวสารนู่นนี่เต็มไปหมด มองมุมหนึ่งมันก็เป็นข้อดีที่ช่วยให้เราได้อัพเดทและทันโลกอยู่ตลอดเวลา แต่หลายครั้งสิ่งที่ถูกโพสต์บนบนอินเทอร์เน็ตมันเป็นเพียงความเห็นไม่ใช่ความรู้ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และใช้วิจารณญาณก่อนที่จะปักใช้เชื่อหรือแชร์ต่อด้วยนะคะ

11. ใช้ความหลงใหลขับเคลื่อนชีวิต

คนๆ หนึ่งสามารถมีความชอบหรือถนัดได้หลายอย่าง แต่ถ้ามานั่งคิดดูดีๆ แล้ว มันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะที่เราหลงใหลในสิ่งนั้นจริงๆ บางอย่างเราถนัดแต่ทำไปแล้วไม่มีความสุข เราจะยอมอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตเหรอคะ จงค้นหาสิ่งที่คุณหลงใหลและทำได้ดีให้เจอ แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นจะขับเคลื่อนคุณไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตค่ะ

12. เรียนรู้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้คำพูด ตั้งสเตตัส ตอบคอมเมนต์ หรือโต้ตอบอีเมล ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หลายคนก็พลาดกันอยู่บ่อยครั้ง เด็กจบใหม่บางคนถึงขั้นอดได้งาน เพราะสเตตัสห่ามๆ ที่ตั้งไว้ในเฟซบุ๊ค (ซึ่งคิดไปเองว่ามันเป็นพื้นที่ส่วนตัว) ก็มีเยอะนะคะ จงเตือนตัวเองไว้เสมอค่ะว่าต้องคิดทุกครั้งก่อนพิมพ์หรือพูด ที่สำคัญมากคือควรรู้กาลเทศะด้วยว่าเวลาไหนสามารถสื่อสารแบบสบายๆ ชิลล์ๆ ได้ และเวลาไหนที่ต้องสื่อสารอย่างทางการเพื่อความเป็นมืออาชีพ

13. ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน

ซาลารี่แมนญี่ปุ่นมีคำกล่าวว่า “ไม่มีสักวันเดียวที่จะผ่านไป โดยไม่มีการปรับปรุงส่วนหนึ่งส่วนใดในองค์กร” ซึ่งแนวคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เช่นกันค่ะ ทุกวันนี้โลกหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันก็สูงมากในทุกวงการ การปล่อยให้ตัวเองย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา ในขณะที่คนอื่นเขาวิ่งไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเรากำลังก้าวถอยหลังแล้วค่ะ

14. อย่าเริ่มต้นทำสิ่งที่ไม่คุ้มค่าแก่การเสียเวลา

หลายคนมีไอเดียอยากจะทำนู่นทำนี่เต็มไปหมด โดยเฉพาะเด็กเจนวายที่เติบโตมากับคลังข้อมูลมหาศาล พอเห็นคนอื่นทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จก็อยากได้อยากมีแบบเขาบ้าง แต่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ มักจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ แบบนี้ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จค่ะ ก่อนจะเริ่มต้นทำอะไรควรคิดให้รอบคอบ มองข้อดีข้อเสียของสิ่งนั้นอย่างรอบด้านก่อนเสมอ

15. มีความสุขและแบ่งปันความสุขนั้นแก่คนรอบข้าง

หมั่นสำรวจความคิดและความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ควรรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังคิดอะไร รู้สึกอะไร และอะไรทำให้เรารู้สึกแบบนั้น ช่วงไหนทุกข์ใจหรือเครียดมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกจากภาวะนั้นโดยเร็วที่สุด และเมื่อมีความสุขแล้วก็อย่าลืมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนรอบข้างด้วยนะคะ ความสุขยิ่งแบ่งปันไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งกลับเข้ามาหาเราแบบทวีคูณค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในฝรั่งเศส

คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่ง ในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย จัดงานรื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอก ของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า เยซู” การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสต์มาส จึงอยู่ที่การฉลองความรัก ที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

    เทศกาลคริสต์มาส เป็นเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศการเฉลิมฉลอง  ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว ทำให้นึกถึงคริสต์มาสในฝรั่งเศส  แต่ในฝรั่งเศส  และคาดว่าอีกหลายๆประเทศนั้น  คริสต์มาสเป็นวันครอบครัวค่ะ
    คนที่นี่จะถือโอกาสหยุดยาวลากลับไปเที่ยวบ้านพ่อแม่ และทานอาหารมื้อใหญ่กับครอบครัวค่ะ มื้อใหญ่จริงๆนะคะทานกว่าจะเสร็จหลายชั่วโมงค่ะ บางทีทานเที่ยง เสร็จหกโมงเย็นค่ะ อาหารที่ทานๆกันนั้นก็จะล้วนแล้วแต่เป็นของดีอย่างเช่น ฟัวการ์ (foie gras - ขออธิบายนะคะเป็นตับเป็ดที่รสชาติหวานร่อยมากค่ะ เวลาทาน ทานเหมือนแยมค่ะ ปาดบนขนมปัง โรยพริกไทยเล็กน้อย อร่อยอย่าบอกใครค่ะ) ไอวี่เองซื้อทานเป็นประจำ ถึงแม้จะไม่ใช่เทศกาลค่ะ ส่วนอาหารอื่นๆนะคะ ปลาแซลมอนรมควัน เนื้อขั้นดี ชีส ไวน์ บางบ้านอาจทาน ฟองดู เนื้อ หรือว่า ฟองดูชีส และสุดโปรดของไอวี่เอง คราเครท  raclette - เป็นการเอาชีสแผ่นไปละลายบนเตาแล้วราดทานกับแฮมเบค่อน มันฝรั่ง ผัก หรืออะไรก็ได้ค่ะ  

ในคืนนี้เองนั้นจะมีการแลกของขวัญค่ะ เหมือนที่เราอาจจะเคยเห็นในหนังฝรั่ง เราต้องมีของให้ทุกๆคนที่ไปนะคะ เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียวค่ะ ห้ามพลาดห้ามลืมแม้แต่คนเดียว

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ

วันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ

เทศกาลคริสต์มาส เป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า ” คริสต์มาส ” เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ในภาษาไทย ” คริสต์มาส ” ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า “มาส” แปลว่า “เดือน” เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า”มาส” คือ”ดวงจันทร์” ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า”สันติสุขและความสงบทางใจ
คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เทคนิคการเรียนภาษาจากชายที่พูดได้ถึง 9 ภาษา

แมทธิว ยูลเดน’ เป็นคนธรรมดาๆ ที่ทำงานอยู่ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี เขาใช้ภาษาโปรตุเกสในการทำงานเป็นหลัก ทำให้เพื่อนร่วมงานน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นชายชาวอังกฤษที่พูดได้มากถึง 9 ภาษา และต่อไปนี้คือเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จากแมทธิวสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1.มีเหตุผลที่ดีในการเรียนภาษานั้นๆ
        มันอาจฟังดูซ้ำซาก แต่จริงๆ แล้วหากคุณไม่มีเหตุผลที่ดีพอในการเลือกเรียนภาษาใดภาษาหนึ่ง คุณอาจไม่มีแรงกระตุ้นมากพอในระยะยาวก็เป็นได้ หากคุณแค่ต้องการสร้างความประทับใจด้วยการพูดภาษาฝรั่งเศสให้คนที่พูดภาษาอังกฤษฟัง นั่นอาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของเหตุผลที่ไม่ดี แต่หากคุณอยากเรียนภาษาฝรั่งเศสเพื่อทำความรู้จักกับคนฝรั่งเศสและเรียนรู้วัฒนธรรมของพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป อย่างไรเสีย ไม่ว่าเหตุผลของคุณคืออะไรก็ตาม เมื่อเลือกเรียนภาษาใดภาษาหนึ่งแล้ว มันจำเป็นมากๆ ที่คุณจะต้องทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่
2.หาคนสนิทช่วยฝึก
        แมทธิวเรียนภาษาต่างประเทศหลายภาษาพร้อมๆ กับ ‘ไมเคิล’ คู่แฝดของเขาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เรียนภาษากรีก ซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศภาษาแรกของพวกเขา จนแตกฉานตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบเท่านั้น โดยแมทธิวระบุว่าการแข่งขันระหว่างพี่น้องช่วยให้เขาเรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่มีพี่น้องอย่างแมทธิวและไมเคิล การมีคนสนิทไม่ว่าจะในรูปแบบไหนคอยเรียนรู้ภาษาไปด้วยกันจะช่วยผลักดันให้คุณมีความพยายามมากขึ้นตลอดเวลาและไม่ล้มเลิกความพยายามเร็วเกินไป
“เราเคยมีแรงกระตุ้นกันมากๆ และก็ยังเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ เราผลักดันอีกฝ่ายให้เดินหน้าอย่างจริงจัง เมื่อไรก็ตามที่เขารู้สึกว่าผมทำได้ดีกว่า เขาจะรู้สึกอิจฉานิดๆ และพยายามที่จะเอาชนะผม และผมเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน” – แมทธิว ยูลเดน
3.พูดกับตัวเอง
        หากคุณไม่มีใครให้ฝึกฝนทักษะการพูดด้วยล่ะก็ การพูดกับตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะวิธีการนี้จะช่วยให้คำศัพท์และวลีต่างๆ ในหัวของคุณถูกนำออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้คุณประหม่าน้อยลงเวลาที่ต้องพูดคุยกับคนอื่นในสถานการณ์จริง
        “มันอาจจะฟังดูแปลกมาก แต่จริงๆ แล้วการพูดกับตัวเองในภาษานั้นๆ เป็นการฝึกฝนที่ดีมาก ในกรณีที่คุณไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษานั้นๆ ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา” – แมทธิว ยูลเดน
4.อย่าหลงทาง
       การพูดคุยกับคนอื่นในภาษานั้นๆ จะช่วยให้การเรียนภาษาของคุณไม่หลงทาง และถ้าคุณตั้งเป้าหมายและให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาเพื่อใช้ภาษานั้นๆ สนทนาจริงในชีวิตประจำวัน คุณจะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียนมากขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติ
       “คุณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ คุณแค่ไปกินร้านอาหารกรีกในเมืองแล้วสั่งอาหารเป็นภาษากรีกก็ได้” – แมทธิว ยูลเดน
5.สนุกไปกับมัน
       พยายามใช้ภาษาที่คุณเรียนรู้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ให้ได้มากที่สุด แมทธิวและไมเคิลฝึกฝนทักษะภาษากรีกของพวกเขาด้วยการแต่งเพลงและอัดเพลง นอกจากนี้ คุณยังอาจจัดรายการวิทยุกับเพื่อนในภาษนั้นๆ วาดการ์ตูนช่อง เขียนบทกวี หรือวิธีการง่ายๆ อย่างการพูดคุยกับใครก็ตามที่รู้ภาษานั้นๆ ก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว หากคุณไม่รู้สึกสนุกไปกับมัน นั่นแปลว่าคุณอาจจะกำลังหลงทางแล้วล่ะ
6.ทำตัวเหมือนเด็ก
       การเป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวและมีอาหารเลอะเทอะไปทั้งตัว แต่มันหมายความว่าคุณควรลองเรียนรู้แบบเด็กๆ ดูบ้าง ความเชื่อที่ว่าเด็กเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่นั้นไม่เป็นความจริง งานวิจัยใหม่ๆ ระบุว่าความสามารถในการเรียนรู้ไม่ขึ้นอยู่กับช่วงอายุแต่อย่างใด เคล็ดลับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเด็กๆ คือต้องมีทัศนคติแบบเด็กๆ เช่น การไม่เขินอาย ความยินดีที่ได้เรียนรู้ภาษาอื่น ความเต็มใจที่จะผิดพลาด เป็นต้น
เราทุกคนต่างเรียฯรู้จากความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ตอนเป็นเด็ก พวกเรามักถูกคาดหวังให้สร้างข้อผิดพลาด แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การพลั้งพลาดกลับกลายเป็นเรื่องต้องห้ามขึ้นมา ผู้ใหญ่หลายคนมีแนมโน้มที่จะพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” มากกว่า “ฉันยังไม่ได้ลองทำ” ขณะที่การล้มเหลวหรือการดิ้นรนในสังคมที่ว่ากลับไม่ได้เป็นข้อกังวลสำหรับเด็กมากนัก ดังนั้น เวลาเรียนภาษา การยอมรับว่าคุณไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่อิสระทางการเรียนรู้ จงปล่อยวางความคิดแบบผู้ใหญ่ของคุณซะ!  
7.ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน (comfort zone)
       การเต็มใจที่จะผิดพลาดหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายไม่มากก็น้อยเช่นกัน มันอาจฟังดูน่ากลัว แต่มันเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ปรับกรุงและพัฒนาทักษะของตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเรียนหนักแค่ไหน คุณจะไม่สามารถพูดคุยในภาษานั้นๆ ได้เลยหากคุณไม่เอาตัวเองออกไปเจอผู้คน พูดคุยกับคนแปลกหน้า ถามทาง สั่งอาหาร เรียนรู้ที่จะเล่นมุขตลก ฯลฯ ยิ่งคุณทำแบบนี้บ่อยเท่าไร คอมฟอร์ตโซนของคุณจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่อนคลายมากขึ้นเวลาเจอสถานการณ์ใหม่ๆ
8.ฟัง
      คุณจำเป็นต้องเรียนรู้การฟังก่อนที่จะพูด ทุกๆ ภาษาจะฟังดูประหลาดเสมอในครั้งแรกที่คุณฟังมัน แต่ยิ่งคุณฟังมันมากเท่าไร คุณก้จะยิ่งคุ้นเคยกับมันมากเท่านั้น การพูดของคุณก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง 
      “เรามีความสามารถที่จะออกเสียงทุกๆ อย่าง เราแค่ไม่คุ้นเคยกับมันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ตัว r แบบกระดกลิ้นที่ไม่มีในภาษาอังกฤษ แต่เมื่อผมเริ่มเรียนภาษาสเปนซึ่งมีตัว r กระดกลิ้นอย่างคำว่า ‘perro‘ หรือ ’reunión’ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะฝึกฝนมันจนชำนาญก็คือการฟังอย่างสม่ำเสมอและจินตาการว่าคำๆ นั้นออกเสียงอย่างไร เพราะว่าเสียงแต่ละเสียงใช้ปากและคอไม่เหมือนกันเพื่อให้ได้เสียงนั้นออกมา” – แมทธิว ยูลเดน
9. ดูคนอื่นพูด
ความแตกต่างของแต่ละภาษาไม่ได้อยู่แค่ที่การใช้ลิ้น ริมฝีปาก และลำคอที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น คุณยังต้องใช้ทัศนคติที่แตกต่างกันในการพูดแต่ละภาษาอีกด้วย ซึ่งการสังเกตและเลียนแบบเจ้าของภาษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และหากคุณไม่สามารถพบเห็นเจ้าของภาษาได้ในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ การดูหนังหรือรายการทีวีที่พูดในภาษานั้นๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย 
“บางทีมันอาจฟังดูแปลก แต่คุณควรมองและสังเกตว่าเจ้าของภาษาเขาออกเสียงคำแต่ละคำอย่างไรบ้าง จากนั้น พยายามเลียนแบบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เชื่อผมเถอะ มันจะยากในช่วงแรกๆ แต่คุณจะทำได้ในที่สุด มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ คุณแค่ต้องฝนเยอะๆ เท่านั้นเอง” – แมทธิว ยูลเดน
10.ฝึกฝนอย่างหนักและต่อเนื่อง
     การแค่สัญญากับตัวเองว่าจะทุ่มเทกับการเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องฝึกฝนจริงๆ อย่างที่พูดด้วย แมทธิวแนะนำว่าควรฝึกฝนอย่างหนัก เขาบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมืออะไรช่วยในการเรียนรู้ภาษาใหม่ก็ตาม การฝึกฝนมันทุกๆ วันถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ
      “ผมชอบที่จะซึมซับความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาใหม่ เวลาผมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผมจะฝึกฝนด้วยการใช้มันตลอดวัน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสัปดาห์หนึ่งแล้ว ผมพยายามจะใช้ภาษานั้นในการคิด เขียน และพูดกับตัวเอง สำหรับผมแล้วมันคือการนำความรู้ที่ได้มาฝึกฝนใช้จริง การเขียนอีเมล์ การพูดกับตัวเอง ฟังเพลง ฟังวิทยุ ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อภาษาใหม่ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้น” – แมทธิว ยูลเดน

แหล่งข้อมูล: https://www.babbel.com/en/magazine/10-tips-from-an-expert?bsc=engmag-a1-vid-bv1-new-tipsandtricks-tb&btp=1_eng_tab_cd&slc=engmag-a1-vid-bv1-new-tipsandtricks-tb&utm_campaign=cd_engall_gen_cxx_tipsandtricks&utm_medium=cpc&utm_source=taboola
แหล่งภาพ : http://www.ngabo.org/prophetic/history/languages/what_is_the_meaning_of_the_word_language.html

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สุภาษิตสุดเจ๋ง ภาษาฝรั่งเศส

สุภาษิต - คำพังเพยภาษาฝรั่งเศส [ตอน II]

A chaque jour suffi sa peine.
ทุกข์ของวันนี้ก็พอแล้วสำหรับวันนี้

Chacun est le fils de ses œuvres.
แต่ละคนจะเป็นผลของผลงานของตน

Charité bien ordonnée commence par soi-même.
ความเมตตามักจะเริ่มต้นจากตัวเอง

Connais-toi toi-même.
จงพยายามรู้จักตนเอง

Il faut apprendre à obéir pour savoir commander.
ต้องหันที่จะเชื่อฟัง เพื่อที่จะสั่งเป็น

Il faut battre le fer pendant qu’il est chaud.
ต้องตีเหล็กขณะที่มันร้อนอยู่

Il faut semer pour cueillir.
ต้องหว่านเพื่อที่จะได้เก็บ

La main qui donne est au dessus de celle qui reçoit.
มือที่ให้ย่อมอยู่เหนือมือที่รับ (เป็นคนให้ย่อมดีกว่าเป็นคนรับ)

La patience vient à bout de tout.
ความอดทนทำให้ทำทุกอย่างได้

L’argent est un bon serviteur et un mauvais maître.
เงินเป็นคนรับใช้ที่ดีและเป็นนายที่เลว

Le mieux est l’ennemi du bien.
คำว่า “ดีกว่า” เป็นศัตรูของคำว่า “ดี”

Qui se repent, est presque innocent.
คนผิดที่สำนึกบาป ก็เกือบจะบริสุทธิ์แล้ว

Qui se fait brebis, le loup le mange.
คนที่ทำตัวเป็นลูกแกะ หมาป่าก็ต้องกิน

Trop de bonté devient faiblesse.
ดีเกินไปกลายเป็นคนอ่อนแอ

Qui n’a rien, ne craint rien.
คนที่ไม่มีอะไรเลย ไม่กลัวอะไรเลย

Il est aisé de dire, mais moins aisé de faire
ง่ายที่จะพูดแต่ยากที่จะทำ

Qui s’excuse, s’accuse.
คนที่แก้ตัวเท่ากับยอมรับว่าผิด

L’épée des femmes, c’est leur langue.
ดาบของผู้หญิงคือลิ้นของเธอนั่นเอง

Toute médaille a son revers.
เหรียญทุกอันย่อมมีอีกด้านเสมอ

Les hommes ne se mesurent pas à l’aune.
มนุษย์วัดไม่ได้ด้วยมาตราใดๆ ทั้งสิ้น

La vraie noblesse est celle du cœur.
การเป็นผู้ดีที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ

Pardonne à tous, mais non à toi.
จงยกทาให้กับทุกคน แต่อย่ายกโทษให้ตัวเอง

Ecris comme les habiles et parle comme tout le monde.
จงเขียนเหมือนคนฉลาด แต่จงพูดเหมือนคนทั่วๆ ไป

Pense deux fois avant de parler. Tu en parleras deux fois mieux.
จงคิดสองครั้งก่อนพูด แล้วคุณจะพูดดีเป็นสองเท่า

Pas à pas, on va loin.
ก้าวไปทีละก้าวเราจะไปได้ไกล

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบไม่มีวันลืม!!

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "อยากเก่งภาษาอังกฤษก็ท่องศัพท์เยอะๆสิ" 
ซึ่งหลายคนก็ได้นำมาใช้ แต่ก็ยังมีคนบอกว่าไม่เห็นจะเก่งขึ้นเลย
เทคนิคนี้อาจจะฟังดูง่ายๆครับ
แต่ถ้าเรานำไปใช้แบบไม่มีกระบวนการเนี่ย
มันก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์หรอกครับ
วันนี้ผมเลยจะมาอธิบายวิธีการนำเคล็ดลับนี้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
และแน่นอนครับ ผมจะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อๆเพื่อนจะได้นำไปใช้อย่างถูกต้องครับ

อันดับแรกเรามาดูอุปกรณ์ที่เราต้องเตรียมในการ ท่องคำศัพท์ ครับ
ก็มี สมุด 1 เล่ม ดินสอ(หรือปากกา) 1 แท่ง หูฟังหรือลำโพงไว้ฟังการออกเสียงที่ถูกต้องนะครับ (หากอยู่คนเดียวก็เปิดลำโพงเต็มที่เลยครับ หากอยู่กับเพื่อนก็อาจจะไส่หูฟังนิดนึง) โทรศัพท์หรืออะไรก็ได้ที่อัดเสียงได้
และนี้คือเว็ปตัวช่วยของเราครับ

http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/wordlist/english/oxford3000/
และแน่นอนเว็ปที่ขาดไม่ได้
https://translate.google.co.th/ ซึ่งเว็ปนี้เวลาเราจะใช้ ให้แปลที่ละคำนะครับ อย่ายกมาวางทั้งประโยค เพราะกูเกิ้ลแปลประโยคได้มั่วมากๆครับ

ที่นี้มาถึงคำถามที่หลายคนอาจเคยถาม
เริ่มท่องศัพท์ตั้งแต่คำไหนดี?
ซึ่งมีหลายคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จะท่องคำไหน
ผมขอแนะนำให้ทุุกคนรู้จักกับ
'Oxford 3000 key words' ครับ (ตามลิ้งที่ผมให้ไป)
คือ คำศัพย์ 3000 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ หรือพูดง่ายๆก็คือคำศัพท์ 70% ที่ใช้อยู่ทุกคนวันก็มาจาก 3000 คำนี้และครับ
หลายคนอาจบอกว่า 'เยอะจังตั้ง 3000 แหน่ะ' 
เยอะ แต่ทุกคำเราได้ใช้แน่นอนครับ สู้ไว้ครับ

เรามาเริ่มกันเลยครับ
อันดับแรกเข้าไปที่ ลิ้งค์แรกที่ผมให้ 
เลื่อนมาข้างล่างสักนิดนึง เราจะเจอคำศัพท์เรียงกันยาวตามลำดับตัวอักษร(A-Z)ครับ
ไม่ต้องกดเข้าไปนะครับ เพราะเราสนใจแค่คำศัพท์และวิธีออกเสียงพอ ถ้ากดเข้าไปเขาจะอธิบายความหมายไว้ในภาษาอังกฤษ หรือพูดง่ายๆคือแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกทีครับ
แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูก็ไม่เป็นไรนะครับ
ที่นี้วิธีท่องคำศัพท์ของเราก็คือ ท่องอักษรละ 2 คำต่อวันครับ
เอ๊ะ หลายคนอาจจะงง อักษรละ 2 คำต่อวันยังไงหว่า
ก็คือวันนี้ให้เราท่องคำศัพท์ให้หมวด A-Z อย่างละสองคำ
ก็จะตกอยู่วันละ 52 คำครับ 
อาจจะฟังดูเยอะนะ วันละตั้ง 52 ครับ แต่จริงผมว่ามันก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ
แบ่งเวลาท่องออกเป็น 3 ช่วง
เช้าท่อง 15 คำ
เที่ยง 15 คำ
เย็น 15 คำ
ที่เหลือก่อนนอน
ถ้าใครฝืนตัวเองให้ทำจนเป็นนิสัยได้นะ ผมบอกเลยว่าคุณจะพัฒนาเยอะมากครับ
แต่ถ้าใครไม่ไหวจริงๆก็ให้ลดมาเหลือ อักษรละ 1 คำต่อวันก็ได้ครับ
แล้วให้เราจดคำศัพท์ที่เราท่องแต่ละวันลงในสมุดนะครับ
จดแค่ภาษาอังกฤษนะครับ คำแปลภาษาไทยไม่ต้องจด
ก็อย่างที่เคยอธิบายไปในบทความที่แล้วครับ (ลองไปหาอ่านดูตอนที่ 1)
การที่เราไม่จดภาษาไทยไปเนี่ย จะเหมือนเป็นการบังคับให้เราใช้สมองเพื่อจดจำ และเมื่อผ่านไป 2-3 วัน เรากลับมาอ่านจะได้ให้สมองใช้เวลานึกคำศัพท์ที่เราแปลความหมายไม่ได้ วิธีนี้แหละครับจะทำให้เราจำศัพท์ได้เร็วมาก
แล้วไม่ใช้แค่จดอย่างเดียวนะครับ ให้ฟังด้วย
จะเห็นว่ามีปุ่มให้กดอยู่ 2 ปุ่ม สีน้ำเงิน กับสีแดง
ปุ่ม 2 ปุ่มนี้คือเสียงเจ้าของภาษาพูดคำศัพท์ครับ
สีน้ำเงิน คือ สำเนียงอังกฤษ (ฺBritish English)
สีแดง คือ สำเนียงอเมริกัน (American English)
ให้เราเลือกฝึกพูดตาม 1 สำเนียงนะครับ ตาามใจชอบเลย
ให้ลองอัดเสียงดูว่า เวลาเราพูดตามสำเนียงไหน เสียงเราฟังดูเหมือนมากกว่า หากเสียงเราไปทางสำเนียงอังกฤษ ก็ให้ฝึกพูดตามสำเนียงอังกฤษนะครับ แต่ถ้าไปอีกสำเนียงก็ฝึกตามสำเนียงนั้น
ต้องฝึกพูดตามและฟังให้ออกด้วยนะครับ เพื่อครั้งหน้าเราได้ยินหรือได้ใช้ จะได้รู้ว่าต้องออกเสียงยังไงให้ฝรั่งเข้าใจ
อ่อ อย่าลืมแปลความหมายคำศัพท์ด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพูดได้สำเนียงเป๊ะ แต่ไม่รู้ความหมายก็ไม่ไหวนะครับ :DD

สรุปนะครับ
1.ท่องคำศัพท์อักษรละ 2 คำหรือ 1 คำ ต่อวัน
2.จดแค่ภาษาอังกฤษ
3.บันทึกเสียงตัวเองแล้วฟัง
4.เลียนแบบเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษาที่สุด

นี่แหละครับแค่นี้เราก็มีวิธีการท่องคำศัพท์แบบมีประสิทธิภาพแล้ว
แล้วผมบอกได้เลยว่า ได้ใช้ทุกคำแน่นอนครับ
เพราะ คำศัพท์3000นี้ คือคำที่ใช้บ่อยที่สุดคำ
มีทางลัดขนาดนี้แล้ว
อย่าท้อนะครับ

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เคล็ดลับง่ายๆ หายง่วงตอนอ่านหนังสือ

หลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะนำเราไปสู่การหลับฝันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนอ่านหนังสือหรือนั่งอ่านบนเตียงเนี่ยแหล่ะ 55+ เคยเป็นมั้ยครับนั่งอ่านอยู่แล้วไถลไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นท่านอน แล้วก็หลับคาหนังสือไปในที่สุด 55+ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้อยู่ห่างจาก เตียง หมอน โซฟา อะไรที่ให้ความรู้สึกนุ่มๆ เคลิ้มๆ หรือสร้างบรรยากาศถึงการหลับนอนอ่ะครับ ทิ้งไปให้หมด อ่านในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เคยเห็นในหนังมั้ยครับที่แบบปิดไฟมืดๆ แล้วเรามานั่งบนโต๊ะ เปิดไฟเหลืองๆ สลัวๆอ่านหนังสือ บางคนคงแบบอย่างนี้อ่ะดีจัดบรรยากาศการอ่านหนังสือให้โรแมนติก 55+ รับรองว่าเราจะได้โรแมนติกกันถึงในฝันแน่นอนครับ เพราะว่าในการอ่านตาของเราต้องการแสงสว่างที่เพียงพอครับ ถ้าอ่านในที่สลัวๆตาของเราจะต้องทำงานหนัก เมื่ออ่านได้สักพักก็จะเกิดอาการเมื่อยล้าของดวงตา จนต้องหลับเพื่อพักสายตาในที่สุด ดังนั้นถ้าอยากอ่านหนังสือได้นานๆ ต้องอ่านในที่สว่างไว้ครับ step by step ครับ เวลาอ่านหนังสือไปทีละเรื่องอย่าข้ามเรื่องครับ สังเกตุได้จากเวลาเรียนเช่นกันครับ เวลาเราขาดเรียนไปนานๆ พอเข้ามาเรียนแล้วเรียนไม่รู้เรื่องเราก็จะง่วงและหลับลงในที่สุด เพราะงั้นการเรียนและการอ่านเราต้องไปทีละขั้นนะครับ ตามเนื้อหาของมัน จำไว้ครับ ความงงเป็นบ่อเกิดของความง่วงครับ งงมากก็ง่วงมาก งงน้อยก็ง่วงน้อย ไม่งงเลยก็จะไม่ง่วงเลยครับ ^^ กินแต่พอดีครับ การกินอาหารก่อนการเรียนหรืออ่านหนังสือนี่ก็เกี่ยวนะครับ เราควรกินพอดีๆ ไม่ให้อิ่มมากเกินไป ตามคำกล่าวที่ว่า “หนังท้องตึง หนังตาหย่อนครับ” ถ้าอิ่มมากๆจะทำให้เราง่วงครับ พักผ่อนให้เพียงพอด้วยล่ะ เคยรู้สึกมั้ยครับวันไหนที่เรานอนมาเต็มที่ทั้งวันและ จะพยายามนอนอีกเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับเพราะร่างกายเรามันพักผ่อนเต็มที่ไปแล้ว เพราะงั้นการพักผ่อนให้เต็มที่ก็เป็นวิธีป้องกันที่ดีอีกทางหนึ่งครับ อย่าหักโหมให้มากเกินไปครับ ความพอดีอีกแล้วครับ การอ่านหนังสือเนี่ยเราจะต้องใช้สมองไปด้วย แน่นอนว่ายิ่งใช้มากก็จะเหนื่อยล้า เพราะฉะนั้นเราก็ควรมีช่วงเวลาพักครึ่งในการอ่านหนังสือบ้าง แล้วค่อยกลับมาอ่านต่อ วิธีการผ่อนคลายสมองไว้จะมาเล่าในโอกาสหน้านะครับ จบไปแล้วนะครับสำหรับการป้องกันความง่วงต่อไปในกรณีที่เราป้องกันไม่ทันแล้วล่ะจำทำยังไง??

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

10 น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก

10 น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก น้ำตก Plitvice, ประเทศโครเอเชีย น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก01 ภาพจาก: Photo by James/CC BY-SA 2.0 หนึ่งในน้ำตกที่โรแมนติกที่สุดในโลก เพราะความสวยงามของสายน้ำสีเทอควอยซ์ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตไวซ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากความสำคัญของการเป็นป่ารุ่นแรกๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก วิธีชมความสวยงามของที่นี่คือการเดินเท้า บางเส้นทางกินระยะเวลานานถึง 6 ชั่วโมง หรือใช้บริการนั่งเรือชมทะเลสาบฟรี (รวมในค่าเข้า) โดยเรือจะออกทุกครึ่งชั่วโมง และมีให้บริการเฉพาะช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคมเท่านั้น ช่วงเวลาน่าไปคือระหว่างมิถุนายนถึงสิงหาคม เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ น้ำตกจะมีสีสันสดใสที่สุด ค่าเข้า ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. อยู่ที่ 110 Kuna วันที่ 1 ก.ค.-31 ส.ค. อยู่ที่ 180 Kuna (1 Kuna เท่ากับ 5 บาทไทย) พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Yosemite Falls, ประเทศสหรัฐอเมริกา น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก02 ภาพจาก: Expedia View Finder ตระการตากับความสูงของตัวน้ำตกที่แฝงอยู่ในหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่โด่งดังที่สุดของอเมริกาอย่าง Yosemite ในรัฐแคลิฟอร์เนีย น้ำตก 3 ชั้นแห่งนี้ยังถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความสูงถึง 739 เมตร ด้วยความสูงใหญ่ ทำให้น้ำตกแห่งนี้สามารถมองเห็นได้จากหลายมุม และนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเที่ยวชมธรรมชาติเป็นระยะทางราว 1.6 กิโลเมตร ที่นำไปสู่ตีนน้ำตกได้ด้วย ช่วงเวลาน่าไปคือช่วงที่มีน้ำเยอะและสวยที่สุดตั้งแต่พฤศจิกายนถึงกรกฎาคม โดยน้ำจะมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม ค่าเข้า 15 US dollar (1 US dollar = 35 บาท) พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Gullfoss, ประเทศไอซ์แลนด์ น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก03 ภาพจาก: Photo by O Palsson/CC BY 2.0 ความยิ่งใหญ่ของน้ำตก Gullfoss เป็นแรงดึงดูดให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไอซ์แลนด์ ไฮไลท์คือจุดชมน้ำตกไหลบ่าท่วมรอยแตกบนลานหินกว้างก่อนตกลงสู่เบื้องล่างที่ความสูงกว่า 32 เมตร ตัวน้ำตกเองยังตั้งอยู่ใน Golden Circle ที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไอซ์แลนด์อย่างบ่อน้ำพุร้อน Geysir และอุทยานแห่งชาติ Thingvellir ช่วงเวลาน่าไปคือหน้าร้อนระหว่างกรกฏาคม-สิงหาคม นอกจากจะได้เห็นความเขียวชอุ่มของไอซ์แลนด์แล้ว แสงแดดยังทำให้เกิดรุ้งขนาดใหญ่บนน้ำตกด้วย ค่าเข้า ไม่มีค่าเข้า แต่ควรเตรียมเงินไว้สำหรับค่ากิจกรรมท่องเที่ยว ตั้งแต่นั่งรถชมวิว ปั่นจักรยาน ล่องเรือ ชมถ้ำ ไปจนถึงแช่น้ำร้อน ส่วนใหญ่ทัวร์ออกจากเมืองหลวง Reykjavik โดยทัวร์เบสิคอย่าง Classic Golden Circle เริ่มต้นที่9,900 ISK (100 ISK=26 บาท) สามารถเข้าไปดูแพคเกจได้ที่นี่ พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Niagara Falls, ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกา น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก04 ภาพจาก: Expedia View Finder น้ำตกอีกแห่งในสหรัฐที่ชื่อดังไปทั่วโลกกับความอลังการของสายน้ำที่รวมน้ำตกไว้ถึง 3 แห่งด้วยกัน โดยที่กว้างที่สุดเป็นส่วนที่อยู่ในพรมแดนแคนาดากับความยาวถึง 790 เมตร ขณะที่มีการวัดปริมาตรน้ำที่ไหลบ่าลงมานั้นสูงถึง 2,400 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว ที่นี่มีน้ำตกไหลตลอดปีแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ช่วงเวลาน่าไปที่สุดจะเป็นช่วงหน้าร้อนระหว่างพฤษภาคมถึงกันยายนด้วยอากาศสดใส ค่าเข้า ไม่เสียค่าเข้า แต่แนะนำให้ซื้อ USA Discovery Pass หากต้องการชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งต่างๆ ให้ครบ รวมทั้งนั่งเรือชมน้ำตก ในราคารวม 38 US dollar พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Iguazu Falls, ประเทศอาร์เจนตินา และ บราซิล Iguazu_Falls ภาพจาก: Photo by mark goble/CC BY 2.0 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสูงกว่า 81 เมตร เต็มไปด้วยน้ำตกน้อยใหญ่ถึง 275 แห่ง แม้น้ำจะไหลมาจากฝั่งบราซิล แต่ว่าตัวน้ำตกส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งอาร์เจนตินาที่สามารถเข้าดูน้ำตกได้ใกล้ว่า โดยไฮไลท์อยู่ที่ The Devils Throat ซึ่งเป็นจุดที่น้ำตกร่วงลงมาในช่องผารูปตัว U ส่วนบราซิลจะได้ภาพน้ำตกแบบมุมกว้างดีกว่า เที่ยวได้ทั้งปี ช่วงที่อากาศดีสุดจะเป็นช่วงฤดูร้อนในเดือนธันวาคมถึงมีนาคม และหน้าหนาวในเดือนกันยายนถึงตุลาคม ค่าเข้า ฝั่งอาร์เจนตินา 260 เปโซ (1 เปโซ = 3 บาท) ฝั่งบราซิล 52.30 เปโซ (1 เปโซ = 10 บาท) พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Victoria Falls, ประเทศแซมเบีย และซิมบับเว น้ำตกวิกตอเรีย ภาพจาก: Photo by Mario Micklisch/CC BY 2.0 ตั้งอยู่บนเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศแซมเบีย และซิมบับเวในทวีปแอฟริกา ถือเป็นน้ำตกเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีหน้าผาน้ำตกกว้างกว่า 1.7 กิโลเมตรและสูงกว่า 108 เมตร จนทำให้รัศมีเสียงน้ำกระทบพื้นดังไปไกลกว่า 40 กิโลเมตร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว ช่วงที่น้ำตกสวยที่สุดคือเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน ค่าเข้า 30 US dollar ต่อคน พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Kaieteur Falls, ประเทศกายอานา Kaieteur Falls ภาพจาก: Photo by Tim Snell/CC BY-ND 2.0 น้ำตกสายเดี่ยวที่กว้างที่สุดในโลก ที่ความกว้างขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่กว้างตั้งแต่ 76-120 เมตร ความสูงของน้ำตกอยู่ที่ 226 เมตร โดยน้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่แม่น้ำ Potaro River ในอุทยานแห่งชาติ Kaieteur และตกจากหน้าผาที่ได้ชื่อว่าเป็นหินที่อายุมากที่สุดในโลก มีอายุถึง 2,990 ล้านปีเลยทีเดียว ช่วงเวลาน่าเที่ยวคือสิงหาคมถึงตุลาคม และกุมภาพันธ์ถึงเมษายน นอกนั้นจะเป็นช่วงฤดูฝน ค่าเข้า ค่าเข้าไม่เสีย แต่ส่วนใหญ่เป็นการเดินทาง พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Angel Falls, ประเทศเวเนซูเอลา Angel_Falls ภาพจาก: Facebook / Angel Falls Adventure Tour ถือเป็นน้ำตกสูงสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความสูงถึง 979 เมตร โดยน้ำตกตั้งอยู่ที่ริมผาของยอดเขา Auyantepui ของอุทยานแห่งชาติ Canaima ส่วนชื่อนั้นไม่ได้มาจากนางฟ้า แต่เป็นชื่อของ จิมมี แองเจิล นักบินชาวสหรัฐที่นำเครื่องบินบินเหนือน้ำตกเป็นคนแรก ช่วงพฤษภาคมถึงธันวาคมจะเป็นช่วงหน้าฝน ซึ่งมีน้ำมาก แต่เดือนที่น่าไปที่สุดจะเป็นพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่ฝนค่อนข้างน้อย และน้ำยังมากอยู่ แนะนำให้จองที่พักและทัวร์ล่วงหน้าข้ามปี ค่าเข้า เสียค่าเดินทาง 4 US dollar เมื่อเดินทางถึงสนามบิน แต่เสียค่าทัวร์ต่างหาก เพราะการเดินทางลำบากเข้าไปลึก และที่พักมีจำกัด ทัวร์เริ่มต้นที่ราว 950 US dollar ต่อคน ลองใช้บริการของ Tucan Travel ที่บินจากเมืองหลวง Caracus ได้เลย พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Detian Falls, ประเทศจีนและเวียดนาม Detian Falls ภาพจาก: Photo by 2il org/CC BY 2.0 น้ำตก Detian ถือเป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ใน 2 ประเทศใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย โดยในภาษาเวียดนามชื่อว่าน้ำตก Banyue ตัวน้ำตกหลักตั้งอยู่บนเขตแดนจีนด้วยความกว้างของหน้าผากว่า 120 เมตร แต่หากรวมในฝั่งเวียดนามด้วยจะกว้างถึง 200 เมตร และน้ำตกลงมาที่ความสูง 70 เมตร ก่อนจะถึงสระน้ำสีเทอควอยซ์เบื้องล่าง สามารถเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฏาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ค่าเข้า ไม่มีค่าเข้า พักที่ไหนดี? การเดินทาง น้ำตก Sutherland Falls, ประเทศนิวซีแลนด์ น้ำตก_Sutherland _Falls_ประเทศนิวซีแลนด์ หนึ่งในน้ำตกสูงที่สุดในนิวซีแลนด์ด้วยความสูง 580 เมตร ตัวน้ำตกอยู่ในหุบเขาลึกของอุทยานแห่งชาติ Fiordland National Park ความสวยของที่นี่ไม่ได้อยู่ที่น้ำตกอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ที่เส้นทางการเดินเท้าชมน้ำตกในเส้นทาง Milford Track ที่ใช้เวลา 5 วัน พร้อมชมน้ำตกน้อยใหญ่ระหว่างทางมากมาย ที่นี่ท่องเที่ยวได้แค่ช่วงพฤศจิกายนถึงเมษายน โดยช่วง High Season อยู่ที่ธันวาคมถึงมีนาคม

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แม่น้ำลัวร์

ฝรั่งเศส “ดินแดนแห่งปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์” แคว้นลัวร์ อยู่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศสเล็กน้อย มี ตูร์ (Tour) เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 12 ของฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นเมืองชุมทางที่จะ ผ่านไปฝรั่งเศสตะวันตก มีรถไฟด่วนทีจีวี หรือ เตเจเว (TGV) วิ่งจากปารีสใช้เวลา 1 ชั่วโมง ตูร์เป็นเมืองมหาวิทยาลัย มีสถานศึกษาภาษาฝรั่งเศสมาตรฐานที่ไม่มีคำสแลง คนญี่ปุ่นจึงชอบมาเรียนกันที่ตูร์ แม่น้ำลัวร์ เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแคว้นลัวร์ และเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของฝรั่งเศส คือ 1,013 กิโลเมตร หล่อเลี้ยงต้นองุ่นของหลายร้อยตำบลในหลายแคว้น สองฟากฝั่งมี ปราสาทหรือชาโต (Chateau) ของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ที่สวยงามนับพันแห่ง สะท้อนถึงความเป็นอยู่อันหรูหราฟุ่มเฟือยของเจ้าขุนมูลนายในยุคนั้น สาเหตุที่มีชาโตมาก มายที่ลัวร์ เนื่องจากช่วงสงคราม 100 ปี (ค.ศ.1337-1453) พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ไม่อยากตกเป็นเชลยของอังกฤษ จึงอพยพจากปารีสไปอยู่บริเวณลุ่มน้ำลัวร์ กระทั่งกลายเป็นสถานที่อยู่ อาศัยถาวรของพระราชวงศ์ ขุนนาง และข้าราชบริพารทั้งหลาย รวมทั้งพ่อค้าน้อยใหญ่ที่ทำการค้าขายในลำน้ำลัวร์ ปัจจุบันปราสาทเหล่านี้กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว ที่สนใจประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส รู้จักกันในนาม ชาโตแห่งลุ่มน้ำลัวร์ (Chateau de la Loire) ที่ดัง ๆ เช่น Chambord (ชอมบอร์ด), Chenonceau (เชอนงโซ), Amboise (ออมบัวส์), Blois (บลัวส์), Azay-le-Rideau (อาเซ เลอ คริโด) และ Usse (อุสเซ่) เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Mont Saint-Michel แคว้นนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส

หลังจากไกด์ได้พักไปหลายวันแล้ว วันนี้ได้เวลาพาไปเที่ยวต่อ วันนี้เด็กหญิงลูกครึ่งจะพาไปชม Mont Saint-Michel ที่ชาวฝรั่งเศส ออกเสียงกันว่า มง แซง มีแชล . Mont Saint-Michel ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ เป็นวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะในเขตแคว้นนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส โดยสถานที่นี้ ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1979 และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมติดอันดับ 3 ของฝรั่งเศส รองลงมาจากหอไอเฟล และพระราชวังแวร์ซายน์ ประวัติความเป็นมาของวิหารนี้ เขาเล่าว่า มีการสร้างวิหารนี้โดยนักบุญมีแชลที่ได้มาเข้าฝัน นักบุญโอแบร์ บิชอบ แห่งมาฟรองช์ ราวๆ คริสต์ศตวรรษที่ 8 จริงๆ นักบุญมีแชลมาเข้าฝันนักบุญโอแบร์ถึงสามครั้ง โดยครั้งที่หนึ่งนั้น นักบุญโอแบร์นึกว่าเป็นปิศาจมาเข้าฝัน จึงไม่ได้ทำตาม จนถึงครั้งที่สามที่นักบุญโอแบร์ ฝันว่า นักบุญมีแชลเอานิ้วมาจิ้มที่หัว(คงประมาณว่า… หนอยแน่ แกไม่เชื่อฉันเหรอ เหอๆ คนเขียนแปลใส่สีอีกแล้ว) พอตื่นเช้าขึ้นมาเจอรูที่ศรีษะเข้าไปหนึ่งรู เท่านั้นแหละ ท่านก็รีบไปทำตามความฝันที่นักบุญมีแชลสั่งให้สร้างวิหารนี้ทันที ตัวเกาะที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ เกือบทั้งหมดเป็นหินแกรนิต เด็กหญิงและเพื่อนพ้องไม่ได้ขึ้นไปชม เห็นบอกว่า คุณครูใหญ่ตังค์หมด ไม่มี เอิ้กๆ ล้อเล่นๆ ค่ะ คือว่าจริงๆ ที่นี่ไม่ได้ อยู่ในตารางการทัศนศึกษา แต่บังเอิญว่า คุณครูใจดี เห็นว่าเป็นสถานที่สำคัญ ฮอตฮิต เลยพานักเรียนมาชมกันสักนิดนึง เอาแค่พอผ่านๆ ตา ดังนั้น ดิฉันเลยขออาสาพาขึ้นไปดูเอง เพราะเคยปีนหอคอยนี้ขึ้นไป เมื่อปีก่อน ตอนไปฮอลิเดย์เฮฮา กันมาแล้ว ตามมาชมกันเลยค่ะ วิหารแห่งนี้สร้างอยู่บนเกาะ เดินขึ้นไปก็จะพบทางเดินแคบๆ วนไปวนมา ตามข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกเพียบเลย มีเรื่องสะเทือนขวัญกันเล็กน้อย ด้วยว่าอาหมวยที่เห็นอยู่ในรูป มันเป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอเดี๊ยนชักภาพ แฟลชแวบออกมา เธอก็หันมาโช้งเช้งใส่เดี๊ยนซะงั้น แถมทำหน้างอใส่ เดี๊ยนก็ฟังมันไม่รู้เรื่องหรอก แต่อีลุงบอกว่า สงสัยเขาด่าว่าเธอเป็นปาปารัสซี่ ถ่ายรูปเขาไปขายมั้ง สรุปจนวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า อาหมวยอีด่าอะไร เดี๊ยนหรือเปล่า เอิ้กๆ ไม่เป็นไร ช่างอาม่ามันเหอะเนอะ แต่ไม่ว่าจะค้าขาย หาเงินเข้ากระเป๋ากันอย่างไร วิหารนี้ก็ยังคงดำรงการเป็นศาสนสถานอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะว่ายังมีนักบวช เบเนดิค พำนักอาศัยอยู่ในที่นี้ด้วย สิ่งก่อสร้างด้านบนนั้น ส่วนใหญ่เป็นบรรดาป้อมและกำแพง ที่โอบล้อมวิหารแห่งนี้โดยรอบ เพื่อเป็นปราการป้องกัน สึนามิ เอ๊ย กระแสน้ำที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามธรรมชาติ จะเห็นได้ว่า เขาตัดถนนหนทางเข้ามาถึงเกาะ เพื่อทำให้การเดินทางเข้ามาชมสถานที่แห่งนี้ ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น ดังนั้น นักท่องเที่ยว จึงหลั่งไหลกันเข้ามาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้กันอย่างมากมาย จากด้านบนมองลงมา ก็ยังเป็นวิวทะเลตอนน้ำลง เสียดายที่ เราไม่ได้อยู่รอตอนน้ำขึ้น เดาว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะงดงาม มากขึ้นเมื่อน้ำทะเลขึ้นมา โอบล้อมวิหารบนเกาะไว้ วันที่เราไปเยี่ยมเยือน เขาประกาศว่าน้ำจะขึ้นตอน บ่ายสามครึ่งเราจึงไม่ได้อยู่รอ เสียดายเหมือนกัน ทัวร์ฝรั่งเศส กับสองแม่ลูกนี้ ยังไม่จบง่ายๆ ค่ะ คราวหน้าพาไปเที่ยวกันต่อ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ ปัจฉิมฯ

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หอยทากจากฝรั่งเศส

ของดีของฝรั่งเศส หอยทากจากบูร์โกนญ์ หอยทากเอสการ์โกส์จากบูร์โกนญ์ Escargots de Bourgogne “ผมเคยทาน ซุปเอสกาโกส์ แบบรถเข็น ข้างถนนที่ กรุงบรัสเซลในเบลเยี่ยม ซึ่งจะมีขายในช่วงหน้าหนาวตักไส่แก้วกระดาษแล้วเดินจิบแก้หนาวไป ต้องบอกว่าสุดยอดจริง ..” มันคือหอยทากไร่องุ่น vineyard snails ก็เนื่องจากแถบบูร์โกนญ์หรือที่เรารู้จักในภาษาอังกฤษว่า Burgundy นั้นนิยมปลูกองุ่นทำไวน์กันแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว(ตั้งแต่สมัยยังเป็นเมืองหนึ่งของอณาจักรโรมัน)หอยทากพวกนี้เดินป้วนเปี้ยนอยู่ในไร่องุ่นน่ารำคาญนักจึงโดนจับไปทำอาหารซะงั้นผัดกินกับเห็ดท้องถิ่นบ้างหรือเสียบไม้ย่างกินบ้างนิยมกินกันในโปตุเกสและสเปนแถบคันตาลุนญ่าด้วยแต่คงไม่มีสูตรไหนอร่อยเท่ากับสูตรอบเนยเครื่องเทศแบบ บูร์โกนญ์อีกแล้ว วิธีทำเค้าจะเอาหอยออกจากฝาก่อน โดยนำไปต้มในน้ำซุปเครื่องเทศ(ใบไทย์ม,ใบเบย์แล้วก็พริกไทย)ซึ่งน้ำซุปนี้ก็เอาไปใช้เป็นซุปขายได้เลย ผมเคยทาน’ ซุปเอสกาโกส์’ แบบรถเข็น ข้างถนนที่ กรุงบรัสเซลในเบลเยี่ยม ซึ่งจะมีขายในช่วงหน้าหนาว ตักไส่แก้วกระดาษแล้วเดินจิบแก้หนาวไป ต้องบอกว่าสุดยอดจริง แต่ในซุปนี้จะมีเศษเนื้อหอยน้อยมากจะมีก็ที่มันแตกตัวเป็นเศษเล็กๆเท่านั้น ส่วน ตัวหอยน่ะเค้าเอามากลับไปคลุกกับเนยเครื่องเทศแล้วยัดลงฝาใหม่แล้วไปแช่เย็นเก็บไว้ คราวนี้ก่อนเสริฟก็แค่นำไปอบแล้วเสริฟบนถาดอลูมิเนียมที่เป็นหลุมเหมือนถาดขนมครก จะมี2ขนาดคือ แบบครึ่งโหล(ถาด6ตัว)และแบบ1โหล(ถาด12ตัว) มาพร้อมเครื่องมือจับหอยที่ออกแบบมาเฉพาะกันลื่นและกันร้อน เพราะต้องเสริฟร้อนๆถึงจะถูกต้อง จะมีซ่อมเล็กๆปลายแหลมจิ้มแล้วดึงออกมาจากฝาคล้ายๆวิธีกินหอยหวานบ้านเรานี่แหละ เคล็ดลับในการกินให้อร่อยคงต้องpairing กับไวน์จากบูว์โกนญ์(Burgundy wine)เช่นไวน์ชมพูอย่าง Marsannay rosé หรือ Aligotéเย็นๆ แต่ถ้าไม่มีจะเป็นไวน์แดงก็ไม่ได้น่าเกลียดนะครับ(อย่าไปสนใจpairingมากมันอยู่ที่เรา) ข้อสำคัญอย่าลืมเอาขนมปัง ทาซอสเนยที่อยู่ก้นถาดกินแกล้มไปด้วยนะครับ จะบอกว่าหอยส่วนใหญ่ทีเสริฟในร้านก็เป็นแช่แข็งทั้งนั้นในบางครั้งเราสามารถซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตมาเข้าเตาอบเองก็ได้รสชาติเหมือนกันทุกอย่างเพราะที่ร้านดีๆก็ทำแบบเดียวกันมันคลุกกับเนยเครื่องเทศมาแล้วไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแค่เตรียมขนมปังอุ่นๆกับไวน์ที่ท่านชอบครับ ท่านใดไปทานที่ร้านไหนในเมืองไทยมาแล้วติดใจก็มาแชร์กันด้วยนะครับ Recipe Ingredients • 4 dozen cooked snails and their shells • 250g butter • 1 bouquet garni of parsley • 4 garlic cloves • 1 shallot • Salt and pepper 1. Take out the butter in advance to allow it to soften at room temperature. 2. Peel and crush the garlic cloves before finely chopping the shallot. Wash and chop the parsley. Add garlic, shallot and parsley to the soft butter before mixing well. Season. 3. Place a small amount of garlic butter into the shells, place the snails inside and finish filling the shells with the butter. 4. Place the snails, with the openings facing upwards, in an oven preheated to 200°C for 6 minutes. Check occasionally: when the butter starts to boil, remove them from.

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มารยาทบนโต้ะอาหารฝรั่งเศส

Les bonnes manières indispensables à table (เล บอน มานิแยร์ แอ็งดิสป็องซ๊าบ อา ต๊าบเบลอะ) มารยาทที่ดีและจำเป็นอย่างยิ่งบนโต๊ะอาหาร Les-bonnes-manières-indispensables-à-table-150x150 1. ไม่ควรทำอะไรบนโต๊ะอาหาร ก่อนเจ้าบ้าน(Hôte)จะทำก่อนเป็นครั้งแรก เช่น เราไม่ควรหยิบช้อนมาเล่นเป็นวงเคาะกะลา หรือนั่งดีดแก้วให้มีเสียงกังวานน่าฟัง เพราะเป็นการกระทำต้องห้ามสำหรับแขก 2. หากเราเป็นแขกหน้าใหม่ ไม่ค่อยทราบธรรมเนียมปฏิบัติ เราก็แค่นั่งรอเงียบๆ ใช้สายตาสังเกตคนข้างๆว่าเขาทำอะไร แล้วก็ทำตามอย่างเขาเลยครับ 3. เวลาทานซุป อย่านำช้อนเข้าปากทั้งช้อนด้วยความยินดีในรสชาติอันแสนเอร็ดอร่อยนะครับ เริ่มตั้งแต่เวลาตักเลย ให้เราตักซุปแบบตักออกจากตัวเอง แล้วค่อยจิบซุปอย่างละเมียดละไมครับ 4. หากไม่แน่ใจว่าจะใช้มือในการหยิบจับอาหาร(จำพวกขนมปัง)ได้ไหม ขอแนะนำให้ใช้ภาชนะบนโต๊ะแทนมือเปล่าจะดีกว่านะครับ 5. คุณต้องไม่วางภาชนะบนผ้าปูโต๊ะหลังจากที่ใช้มันแล้ว เช่น เมื่อใช้ช้อน ส้อม หรือมีดแล้ว ต้องไม่วางบนโต๊ะนะครับ 6. จงตั้งสติให้ดี ถ้าหากเผลอทำสิ่งใดหก หรือคว่ำบนโต๊ะ ต้องไม่เอะอะโวยวายให้แขกท่านอื่นและเจ้าบ้านต้องรำคาญใจ 7. เกลือกับพริกไทยจะอยู่คู่กันตลอดบนโต๊ะ Du sel (ดู แซ็ล) = เกลือ Du poivre(ดู ป๊วฟเวรอะ) = พริกไทย อย่าได้ถามหาซอส น้ำปลาหรือเครื่องปรุงอื่นนะครับ จะเป็นการเสียมรรยาทเพราะเหมือนเป็นการดูถูกในรสชาติอาหาร หากเป็นในร้านอาหารก็จะเท่ากับว่าเป็นการดูถูกเชฟครับ 8. อย่าลืมคำพูดเหล่านี้เด็ดขาด เวลาจะขอความช่วยเหลือและขอบคุณ S’il vous plaît (ซิล วู เปล) = ได้โปรด = Please Merci (แมร์ซี่) = ขอบคุณ = Thank you 9. ห้ามใส่น้ำแข็งในแก้วไวน์เพื่อเพิ่มความเย็นฉ่ำเด็ดขาด 10. หากคุณต้องการดื่มไวน์อีก ก็แค่ดื่มในแก้วให้หมด แล้วรอเติมใหม่ แต่ถ้าไม่ต้องการอีก ควรเหลือไวน์ไว้ก้นแก้วเพื่อเป็นการบ่งชี้ว่าไม่รับเพิ่มแล้ว 11. เมื่อทานเสร็จแล้ว วางภาชนะไว้ในแนวขนานบนจาน(ช้อน ส้อม คู่กัน) 12. มือทั้งสองข้างของเราต้องวางให้เห็นบนโต๊ะ ไม่เก็บไว้ใต้โต๊ะแอบเล่นมือถือ แคะ แกะ หรือเกาอะไรทั้งสิ้น 13. ไม่พูดคุยขณะอาหารเต็มปาก และไม่ทานอาหารเสียงดัง ข้อนี้ก็เหมือนมรรยาทไทยเลยครับ 14. ไม่ควรวางสิ่งของอื่นๆบนโต๊ะ เช่น (nm.)Portefeuille (ปอร์เตอะเฟย) = กระเป๋าเงิน = Wallet (nm.)Téléphone portable (เตเลฟอน ปอร์ต๊าบเบลอะ) = โทรศัพท์มือถือ =Mobile telephone (nf.)Clé (เกล) = กุญแจ = Key 15. หากเป็นผู้หญิง ควรระวังไม่ให้มีรอยลิปสติกติดแก้ว 16. หากอยากทำธุระส่วนตัว เช่น จะไปเข้าห้องน้ำ ให้เอ่ยว่า Excusez-moi (เอ๊กซ์กูเซ่ มัว) = Excuse me ครับ หากอ่านครบแล้วจะพบว่ามีหลายข้อที่ตรงและเหมือนมรรยาทของคนไทย คงไม่ยากที่จะปฏิบัติกันนะครับ

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

12 TIPS TO KEEP SKIN SOFT AND GLOWING IN WINTER

Winter weather is not fun for skin. Cold weather and low humidity levels result in dry air, which then steals moisture away from the skin every second of every day. Without immediate care, dry skin can lead to cracking and bleeding, and harsh winter wind makes the problem worse. Indoor heat further robs the air of moisture, as do hot showers or baths and harsh cleansers. Additional moisture helps, but you need to do more to actually counteract these effects and keep skin looking youthful and smooth. To reduce chapping, redness, itching, and keep skin more healthy and comfortable this season, try these tips. 1. WASH IN LUKEWARM WATER Hot showers and baths always feel good in the winter, but when you can, particularly when just washing your face or hands, choose lukewarm water to avoid stripping as many oils away from the skin. 2. MOISTURIZE IMMEDIATELY AFTERWARDS Your skin not only needs more moisture, but moisture right after you wash. Applying moisture to damp skin helps seal that dampness into the skin. Keep a bottle near the bathtub, shower stall, and at every sink and use liberally every time you wash. 3. CHOOSE MOISTURIZER CAREFULLY Some over-the-counter moisturizers have petroleum-based ingredients that can actually further dry your skin in the winter months. Be sure to choose a smart formula that has natural, nourishing ingredients. Go for an oil-based rather than a water-based solution, as it’s more likely to help your skin retain moisture in the winter. Try Indie Lee’s natural moisturizing oils, as they’re made with natural, hydrating ingredients like lavender, chamomile, jojoba, and more, which help soothe dry, itchy skin. 4. PROTECT Get used to wearing gloves and scarves to protect skin from cold winds, rain, and snow. Also, don’t forget the sunscreen. Winter sun can be just as damaging as summer sun, so apply a safe option like zinc oxide or titanium dioxide to any exposed areas. 5. HUMIDIFY Heating systems dry out the air, so consider installing a humidifier in your home, particularly in your bedroom, to put moisture back into the air and help prevent your skin from drying out. 6. DRINK We tend to drink less water in the winter because we turn to hot drinks like cocoa and tea, but don’t forget that your skin needs hydration from the inside, out. A little warm water with lemon can be very refreshing and hydrating at the same time. 7. OVERNIGHT MOISTURIZE Dryer areas like hands, feet, elbows, and knees have thin skin and tend to lose moisture faster than other areas on the body. Consider slathering on a deep moisturizing balm Skin Food by Weleda at night, then wear cotton gloves and socks to seal in the moisture until morning. 8. EXFOLIATE We often forget to help the skin slough off dead cells in the winter, particularly on our hands. Yet moisture can’t get in if the dead cells are too plentiful. Find an exfoliating mask and use it on your face and your hands, as well as gently on your lips, then follow immediately with moisture to truly see a smoother difference. Exfoliating body washes are also helpful in the winter months. 9. AVOID TOXINS, SPECIFICALLY ALLERGENS AND IRRITANTS Particularly if you have eczema, dermatitis, or psoriasis, you have to avoid allergens and irritants that may trigger a flare up. Winter skin is more fragile, so avoid irritating fabrics (like wool) and chemical-laden detergents, and use mild cleansers and moisturizers designed for sensitive skin. In addition, glutathione is considered the “master anti-oxidant” and helps your body detox. 10. HYDRATE FROM THE INSIDE OUT Eating foods high in water content can help hydrate your skin from the inside out. Try watermelon, cantaloupe, apples, oranges, kiwi, and watery veggies like celery, tomatoes, cucumbers, zucchini, and carrots. Make sure you’re getting enough vitamin C and zinc to support the healthy production of collagen and elastin. Also consider Be Well’s omega-3 supplement, or consume more fatty fish and flaxseed to give your skin the building blocks it needs to appear supple and smooth. 11. CHANGE YOUR CLEANSER Cleansers can be extremely drying to the skin. If you’re used to using options that contain glycolic or salicylic acid, rotate with a more hydrating version that contains moisturizing ingredients. Try like Suki Naturals Moisture-Rich Cleansing Lotion, or for really dry skin, try a cleansing balm like Ren No. 1 Purity Cleansing Balm. After cleansing, don’t leave the skin naked for more than 30 seconds, as this can dehydrate it, leading to increased dryness. Apply a hydrating toner and moisturizer to seal in moisture. 12. USE DIY MASKS Homemade hydrating masks can provide needed moisture in the winter months. Use natural moisturizing ingredients like honey, avocado, yogurt, olive and jojoba oils, almond oil, bananas, and aloe. Mix what you like together to create a cream or paste, and leave on skin for 10-30 minutes for lasting hydration. Do you have other tips for pampering winter skin? Please share them with our readers. Source: “Cold Weather Skin,” Bingham Memorial Hospital, October 25, 2013, http://www.binghammemorial.org/blog/2013/10/25/cold-weather-skin/. YOU MAY ALSO BE INTERESTED IN: Winter Skin Survival Winter Skin Survival 5 Steps To Perfect Skin:
Beautiful Skin Made Easy 5 Steps To Perfect Skin: Beautiful Skin Made Easy Avoid These 7 Mistakes to Maintain Glowing Skin This Winter Avoid These 7 Mistakes to Maintain Glowing Skin This Winter How to Take Care of Your Skin in the Fall How to Take Care of Your Skin in the Fall 5 DIY Natural Face Masks 5 DIY Natural Face Masks 10 Ways a Humidifier Improves Your Health, Skin, and Household This Winter 10 Ways a Humidifier Improves Your Health, Skin, and Household This Winter 296 13EmailShareThis Tags: dry skin, exfoliation, face cleansers, face masks, humidity, moisturizer, skin, skin care, water, winter FREE EBOOK Enter your email to receive the 3-Day Reset eBook 11 recipes for breakfast, lunch, dinner—plus bonus tips GET THE EBOOK SHOP CUSTOMER SERVICE LEARNING CENTER SIGN UP Join our newsletter to receive weekly tips & more. SIGN UP Facebook Twitter Pinterest YouTube Instagram Privacy and Terms of Use © 2010-2017 Be Well Health & Wellness LLC. All rights reserved. Be Well® is a registered trademark of Be Well Health & Wellness LLC. Statements on this site have not been evaluated by the Food and Drug Administration. FREE 3-DAY RESET E-BOOK Join our newsletter and receive your free e-Book, healthy recipes, and Dr. Lipman's expert advice NO THANKS

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ภูทับเบิก

"ภูทับเบิก" ที่เที่ยวหน้าหนาว ชมทะเลหมอก , ไร่กะหล่ำปลี พร้อมกับมิตรภาพดีๆ ใกล้หน้าหนาวแล้ว หลายๆ คนคงวางแพลนไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ กันเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากว่าใครที่ยังไม่ได้วางแผน หรือไม่รู้จะไปไหนที่ไหนดี ขอแนะนำ "ภูทับเบิก" สถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาว ยอดฮิต ที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต และก็มีคำถามตามมาว่า แล้วมันมีอะไรดี? ทำไมถึงต้องไปดูให้เห็นกับตาของตัวเอง และจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปหรือเปล่า ซึ่งวันนี้ Sanook Travel นั้นจะขอติดสอยห้อยตาม คุณ สมาชิกหมายเลข 1322376 ไปเที่ยวไร่กะหล่ำปลีพร้อมชมทะเลหมอกที่สวยงามมากๆ ยาวสุดลูกหูลูกตาที่ "ภูทับเบิก" กันค่ะ ก็ต้องบอกเลยว่า หมอกในหน้าฝนนี่ก็สวยไม่แพ้หน้าหนาวเลยนะ ลองไปดูกันเลยค่ะ ประวัติ ภูทับเบิก สำหรับ ภูทับเบิก นั้นเป็นชื่อของหมู่บ้านที่ชื่อ หมู่บ้านม้งทับเบิก โดยเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร บนภูเขาสูงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ในตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า และห่างจากตัวอำเภอประมาณ 40 กม. และห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 100 กม. ชาวม้งที่นี่มีอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก พืชผักที่มีการปลูกมากที่สุด ก็คือกะหล่ำปลี ซึ่งมีการจัดสรรที่ดินทำกินสำหรับการปลูกกะหล่ำปลีหลายพันไร่บนยอดเขาสูง ทำให้ในช่วงฤดูฝน มีกะหล่ำปลีผุดขึ้นละลานตาเต็มภูเขา โดยใน เฉพาะในช่วง เดือนกรกฎาคม - สิงหาคม และช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน ของทุกปี ส่วนในช่วงหน้าหนาว ที่เที่ยวก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งบานเต็ม ภูทับเบิก ให้ไปถ่ายรูปกัน ขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org และ: http://www.khaoko.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=280061&Ntype=5 เริ่มต้นเดินทาง 5 - 6 กันยายน 58 ที่ผ่านมา เที่ยวภูทับเบิก หน้าหนาว เที่ยวภูทับเบิก หน้าหนาว ทริปสุดมัน !!! แม้ว่าจะต้องบากบั่น ขึ้นไปบนภูด้วยสวิฟน้อย บรรทุก 5 ชีวิต และ มีของเต็มหลังรถอัดกันมา เพื่อจะไปพิชิต ภูทับเบิก กับเขาซักครั้ง ครบทุกรส ทั้ง ร้อน ฝน หนาว พายุ เจอแทบทุกอย่าง แต่ว่าก็ไม่ทำให้ความสนุกในการเดินทางครั้งนี้ลดลงไปเลย แล้วมันขึ้นมากันได้ยังไง เส้นทางไปภูทับเบิก เส้นทางไปภูทับเบิก ซึ่งการออกเดินทางจาก จังหวัดศรีสะเกษ มาถึง จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็เช้าพอดี สำหรับทริปนี้ไม่ได้วางแผนกันไว้แค่ตกลงกันได้ ก็จัดการแพ็คกระเป๋ากันเลย ( ใจง่ายมากกกก ) ทีแรกก็กะจะไปกันเดือนหน้า แต่ว่าไปๆ มาๆ ไปกันมันอาทิตย์นี้หล่ะ วัยรุ่นใจมันร้อน 55 กว่าจะเดินทางมาถึง ภูทับเบิก ก็ใช้เวลาไปเยอะ มีหมอกลงตลอดทาง แต่คนขับก็ สามารถพาทั้ง 5 ชีวิตมาถึงที่ได้อย่างปลอดภัย ภูทับเบิก ภูทับเบิก ซึ่งนับว่า เป็นโชคมากๆ และเมื่อเดินทางมาถึงก็เจอหมอกสวย ลอยมาคลอเคลียให้ชมเลยทีเดียว วิวที่ภูทับเบิก วิวที่ภูทับเบิก บรรยากาศที่ภูทับเบิก บรรยากาศที่ภูทับเบิก และพอไปถึง พวกเราก็ตกลงจะไปเช่าเต้นท์กันที่วิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีคนจับจองเป็นประปรายบ้างแล้ว แค่เห็นวิวด้านบนแล้วใจมันก็สั่นระรัว คือ แบบ ดีงาม เวอร์วังอลังการมว๊ากกกก สวยสุดๆ ทะเลหมอก ภูทับเบิก ทะเลหมอก ภูทับเบิก เสาหลัก ที่ภูทับเบิก

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

10เมืองที่หน่วที่สุดในโลก

10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก แม้เย็นจับใจแต่ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ ! ในที่สุด ลมหนาวของปีก็ได้ฤกษ์พัดมาให้เราชาวไทยได้ฟินกันถ้วนหน้า แต่เชื่อว่ามีอีกหลายคนขอเซย์กู๊ดบายกับอากาศหนาว ๆ แบบนี้ ก็แหม เล่นหนาวซะขนาดนี้จะให้ทนไหวได้ยังไง แค่สัมผัสน้ำเบา ๆ ก็สะท้านไปถึงขั้วหัวใจแล้วเนี่ย แต่รู้ไหมว่า อุณหภูมิในฤดูหนาวบ้านเราน่ะยังถือว่าเด็ก ๆ มาก เมื่อเทียบกับ 10 สถานที่ต่อไปนี้ ที่เว็บไซต์ Slice รวบรวมมาให้เราได้ชมกัน ขอบอกว่า ไม่ต้องเดินทางไปสัมผัสความเย็นถึงที่ เพราะแค่อ่านก็รู้สึกหนาวจับใจขึ้นมาแล้ว บรื๋อ ! เมืองเวียร์โคยันสค์ ประเทศรัสเซีย (Verkhoyansk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia ขึ้นชื่อในเรื่องความหนาวสุด ๆ สำหรับเมืองเวียร์โคยันสค์ ประเทศรัสเซีย ที่นี่มีชาวเมืองราว 1,300 คนอาศัยอยู่ จากการจดบันทึกอุณหภูมิตลอดทั้งปี พบว่าอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยคือ -67.8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาว ส่วนอุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนคือ 16.5 องศาเซลเซียส หมู่บ้านโอมยาคอน ประเทศรัสเซีย (Oymyakon, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก visityakutia หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรอยู่ราว 500 คน พวกเขาสรรหาทุกวิธีเท่าที่จะคิดออกเพื่อคงความอบอุ่นในบ้านเอาไว้ อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยคือ -67.7 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูร้อนของหมู่บ้านแห่งนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 4-20 องศาเซลเซียส นครยาคุตสค์ ประเทศรัสเซีย (Yakutsk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก russia supplychain ยังคงอยู่ที่ประเทศรัสเซียอย่างต่อเนื่อง นครยาคุตสค์เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐซาฮา ประเทศรัสเซีย มีประชากรราว 300,000 คน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -38.6 องศาเซลเซียส ว่ากันว่าคนที่นี่ไม่ยอมใส่แว่นตาเดินออกนอกบ้าน เพราะอากาศหนาวสุดหฤโหดนี้อาจทำให้แว่นตาของคุณแข็งจนแนบเนื้อไปเลย ! โนริลสค์ ประเทศรัสเซีย (Norilsk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก pelfind ที่นี่มีประชากรอยู่ราว 175,000 คน เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่อยากไปเยือนเท่าไร เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนาวแล้ว มันยังเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลกด้วย เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักของเมืองคือการทำเหมืองนั่นเอง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -30.9 องศาเซลเซียส ฟอร์ตกู๊ดโฮป ประเทศแคนาดา (Fort Good Hope, NWT) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก airchris ที่นี่คือชุมชนเล็ก ๆ ในรัฐนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ ประเทศแคนาดา มีประชากรเบาบางเพียงประมาณ 500 คน อาชีพหลักของผู้คนที่นี่คือการล่าสัตว์ไปขายนั่นเอง อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ -31.7 องศาเซลเซียส แต่ถ้ามีลมพัดแรงด้วยอาจทำให้อุณหภูมิลดฮวบไปถึง -60 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว อินเตอร์เนชั่นแนล ฟอลส์ สหรัฐอเมริกา (International Falls, MN) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Courtesy of Rainy Lake Convention and Visitors Bureau เมืองเล็ก ๆ ในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ชาวเมืองมักเรียกขานที่นี่ว่า “ตู้แช่แข็งของอเมริกา” เพราะมันเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอากาศหนาวเหน็บที่สุดในสหรัฐฯ ที่นี่มีประชากรอยู่ราว 6,300 คน อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ -21.4 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เคยวัดได้คือ -48 องศาเซลเซียส บาร์โรว์ สหรัฐอเมริกา (Barrow, AK) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก wunderground เมืองขึ้นชื่อในรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ด้วยความหนาวเหน็บสุดใจขาดดิ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยที่ -29.1 องศาเซลเซียส ทำให้ตลอด 30 วันของเมืองนี้ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว อันเป็นที่มาของนวนิยายและภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง '30 Days of Night' นั่นเอง อูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย (Ulan Bator, Mongolia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก mad-research ถ้าจะถามหาเมืองหลวงที่ครองแชมป์อากาศหนาวที่สุดในโลก หลายคนคงคิดถึงกรุงมอสโก ของประเทศรัสเซีย แต่ที่จริงแล้วมันคือ กรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ที่มีประชากรราว 960,000 คน ส่วนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -36 ถึง -40 องศาเซลเซียส ศูนย์วิจัยยูเรก้า ประเทศแคนาดา (Eureka, Nunavut) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia ศูนย์วิจัยแบบถาวรชื่อ ยูเรก้า ตั้งอยู่ในเขตนูนาวุต ซึ่งเป็นเขตที่มีอากาศหนาวเหน็บที่สุดในประเทศแคนาดา อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในฤดูหนาวอยู่ที่ -41.1 องศาเซลเซียส ที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่ถาวร แต่นักวิจัยมักจะแวะเวียนมาทดลองบางอย่างอยู่เสมอ ทำให้ศูนย์แห่งนี้ไม่เคยขาดผู้อาศัย สถานีวอสตอค แอนตาร์กติกา (Vostok Station, Antarctica) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia นี่คือสถานที่ที่หนาวเหน็บที่สุดในโลก สถานีวอสตอคเป็นสถานีวิจัยในทวีปแอนตาร์กติกาของประเทศรัสเซีย โดยวิจัยเกี่ยวกับการเจาะแกนน้ำแข็งและการวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในฤดูหนาวอยู่ที่ -65 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยราว -42 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เคยบันทึกเอาไว้ได้เมื่อปี 1983 คือ -89.2 องศาเซลเซียส !

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

แคว้นต่างๆในฝรั่งเศส




แต่เดิมประเทศฝรั่งเศสมีชนดั้งเดิมมายึดครองอยู่คือชาว "Gaulois"พวกเขาได้เรียกประเทศฝรั่งเศสว่า LE GAULE

1.ILe-de-France ที่ตั้งอยู่ที่ Bassin Parisien อาหารประจำแคว้นได้แก่ เนย,สถานที่สำคัญของแคว้นได้แก่ Versailles ราชวังของพระเจ้าLouisXIV ปารีสเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส

2.Centre อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Pays de Loire เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พืช,ผักสวนครัว,องุ่น,ข้าวโพด

3.Pays de Loire แคว้นนี้มีชายแดนทางตะวันตกติดกับแคว้น Bretagne ทิศตะวันออกติดกับแคว้น Centre ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับที่ราบสูง มีเมืองหลวงชื่อว่า Nantes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ไร่องุ่น ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือเหล้าองุ่นขาว แคว้นนี้มีปราสาทสวยงามมากมายที่สุดในฝรั่งเศส

4.Bretagne เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศสที่ไม่มีการผลิตเหล้าองุ่น เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสมที่จะปลูกองุ่น แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล เมืองหลวงของแคว้นมีชื่อว่า Rennes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ พืชไร่ที่เราเรียกว่า le cidre ขนมที่ขึ้นชื่อคือ Crepes เมืองท่าที่สำคัญมีชื่อว่า Brest ส่วน Saint-Malo เป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้น

5.La Basse-Normandieเป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนือติดกับอ่าว Manche ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแคว้น Bretagne และทางทิศตะวันออกติดกับแคว้น Haute-Normandie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Caen ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าวสาลี,นม,การประมง สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ Le Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่สถาปัตแบบโรมัน สร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล

6.La Haute-Normandie มีเขตติดต่อกับแคว้น Basse-Normandie มีการผลิตเนยชั้นนำคุณภาพ และนำแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อย เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Rouen

7.Picardie เป็นแคว้นที่ค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศส มีเมือง Amiens เป็นเมืองหลวง ผลผลิตสำคัญคือ ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์,การปลูกหัวผักกาดหวาน

8.Nord-Pas de Calais แคว้นนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศฝรั่งเศส มีเมือง Lille เป็นเมืองหลวงประจำแคว้น เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่มีรถไฟใต้ดินวิ่งป็นเมืองแรกในฝรั่งเศส แคว้นนี้ผลิตเบียร์อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์

9.Le Champagne แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Picardie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Chalons-sur-Marne ผลผลิตสำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์ สถานที่สำคัญประจำแคว้นนี้คือ" โบสถ์เมือง Reims "ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมGothique

10.Lorraine ที่ตั้งของแคว้นนี้อยู่ทางชายแดนประเทศเบลเยี่ยม,ประเทศลักเซมเบอร์กและประเทศเยอรมัน เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Nancy ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลีและการเลี้ยงสัตว์

11.Alsace เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Lorraine มีเมืองหลวงชื่อ Strasbourg ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้างสาลี,องุ่น,ข้าวโพด,ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงประจำแคว้นได้แก่ เหล้าองุ่นขาวคุฌภาพเยี่ยม


12.Franche-Comte แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองหลวงชื่อว่า Besacon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ขนมปัง,เครื่องเทศ นาฬิกาชั้นนำมักจะผลิตที่นี้เป็นสินค้าส่งออก อาหารดังประจำแคว้นเนื่องจากว่าแคว้นนี้ผลิตเบียร์ได้มากจึงมีเบียร์คุณภาพ,เนยคุณภาพดี

13.La Bourgogne ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้น Champagne, อยู่ทางตะวันออกของ Pays de Loire ทางทิศตะวันตกของ Franche-Comte และทิศเหนือของแคว้น Rhone-Alpes เมืองหลวงชื่อ Dijon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,นม,เหล้าองุ่น อาหารดังประจำแคว้นมีชื่อว่า ไก่อบเหล้า,หอยทากอบ เหล้าองุ่นและเหล้าชนิดอื่นก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังของดยุ๊ก

14.Rhone-Alpes ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Bourgogne และ Franche-comte เมืองหลวงมีชื่อว่า Lyon ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,การเลี้ยงสัตว์,ข้าวสาลี,ข้าวโพด

15.L'Auvergne เป็นแคว้นที่มีภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของแคว้น Limousin ทางทิศใต้ของแคว้น Bourgogne เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Clermont-Ferrand ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวบาร์เลย์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ โบสถ์ Notre-Dame

16.Limousin เป็นแคว้นที่มีการเลี้ยงแกะ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เมืองหลวงชื่อ Limoges ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว แพะ แกะ สินค้าประจำแคว้นได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา,เครื่องเคลือบลายคราม

17.Poitou-Charentes แคว้นนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น Limousin อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น Centre เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Poitiers สินค้าประจำแคว้นได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์,องุ่น,เหล้า

18.Aquitaine เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่มีชายฝั่งออกติดกับแนวมหาสมุทรแอตแลนติค เมืองหลวงชื่อ Bordeaux สินค้าของแคว้นคือ องุ่น,ยาสูบ,ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์ และผลิตเหล้าคุณภาพดีมีลูกพรุนรสชาติดีนิยมกันมาก

19.Midi-Pyrenees ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Aquitain และอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Auverne เมืองหลวงชื่อ Toulouse ซึ่งแคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองที่มีการผลิตเครื่องบิน ผลผลิตที่สำคัญของแคว้นได้แก่ เนย,เนยแข็ง

20.Lanquedoc-Roussillon เป็นแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้น Provence ทางตอนใต้ติดกับทะเลสาป เมืองหลวงชื่อ Montpellier ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นคือ องุ่น,เหล้าไวน์ ,พืชผักสวนครัว,เหล้า สถานที่สำคัญได้แก่ Site เป็นเมืองท่าสำคัญ,เมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ

21.Provence-Cote d'Azur ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกัยอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Marseille ผลผลิตที่สำคัญคือการปลูกดอก lavande ,การปลูกไร่องุ่น,การเพาะปลูกพืชผักสวนครัว

22.Corse แคว้นนี้ลักษณะเป็นเกาะอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของเมืองนีช เมืองหลวงชื่อ Ajaccio ผลผลิตสำคัญได้แก่ ลูกเกาลัด,องุ่น,ผลไม้,ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร,เนยแข็งจากนมแกะ,เหล้าองุ่นแดงและชมพู ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเด่นของแคว้นCorse

Présentation