วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

10เมืองที่หน่วที่สุดในโลก

10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก แม้เย็นจับใจแต่ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ ! ในที่สุด ลมหนาวของปีก็ได้ฤกษ์พัดมาให้เราชาวไทยได้ฟินกันถ้วนหน้า แต่เชื่อว่ามีอีกหลายคนขอเซย์กู๊ดบายกับอากาศหนาว ๆ แบบนี้ ก็แหม เล่นหนาวซะขนาดนี้จะให้ทนไหวได้ยังไง แค่สัมผัสน้ำเบา ๆ ก็สะท้านไปถึงขั้วหัวใจแล้วเนี่ย แต่รู้ไหมว่า อุณหภูมิในฤดูหนาวบ้านเราน่ะยังถือว่าเด็ก ๆ มาก เมื่อเทียบกับ 10 สถานที่ต่อไปนี้ ที่เว็บไซต์ Slice รวบรวมมาให้เราได้ชมกัน ขอบอกว่า ไม่ต้องเดินทางไปสัมผัสความเย็นถึงที่ เพราะแค่อ่านก็รู้สึกหนาวจับใจขึ้นมาแล้ว บรื๋อ ! เมืองเวียร์โคยันสค์ ประเทศรัสเซีย (Verkhoyansk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia ขึ้นชื่อในเรื่องความหนาวสุด ๆ สำหรับเมืองเวียร์โคยันสค์ ประเทศรัสเซีย ที่นี่มีชาวเมืองราว 1,300 คนอาศัยอยู่ จากการจดบันทึกอุณหภูมิตลอดทั้งปี พบว่าอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยคือ -67.8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาว ส่วนอุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนคือ 16.5 องศาเซลเซียส หมู่บ้านโอมยาคอน ประเทศรัสเซีย (Oymyakon, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก visityakutia หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรอยู่ราว 500 คน พวกเขาสรรหาทุกวิธีเท่าที่จะคิดออกเพื่อคงความอบอุ่นในบ้านเอาไว้ อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยคือ -67.7 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูร้อนของหมู่บ้านแห่งนี้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 4-20 องศาเซลเซียส นครยาคุตสค์ ประเทศรัสเซีย (Yakutsk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก russia supplychain ยังคงอยู่ที่ประเทศรัสเซียอย่างต่อเนื่อง นครยาคุตสค์เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐซาฮา ประเทศรัสเซีย มีประชากรราว 300,000 คน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -38.6 องศาเซลเซียส ว่ากันว่าคนที่นี่ไม่ยอมใส่แว่นตาเดินออกนอกบ้าน เพราะอากาศหนาวสุดหฤโหดนี้อาจทำให้แว่นตาของคุณแข็งจนแนบเนื้อไปเลย ! โนริลสค์ ประเทศรัสเซีย (Norilsk, Russia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก pelfind ที่นี่มีประชากรอยู่ราว 175,000 คน เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่อยากไปเยือนเท่าไร เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนาวแล้ว มันยังเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลกด้วย เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักของเมืองคือการทำเหมืองนั่นเอง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -30.9 องศาเซลเซียส ฟอร์ตกู๊ดโฮป ประเทศแคนาดา (Fort Good Hope, NWT) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก airchris ที่นี่คือชุมชนเล็ก ๆ ในรัฐนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ ประเทศแคนาดา มีประชากรเบาบางเพียงประมาณ 500 คน อาชีพหลักของผู้คนที่นี่คือการล่าสัตว์ไปขายนั่นเอง อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ -31.7 องศาเซลเซียส แต่ถ้ามีลมพัดแรงด้วยอาจทำให้อุณหภูมิลดฮวบไปถึง -60 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว อินเตอร์เนชั่นแนล ฟอลส์ สหรัฐอเมริกา (International Falls, MN) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Courtesy of Rainy Lake Convention and Visitors Bureau เมืองเล็ก ๆ ในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ชาวเมืองมักเรียกขานที่นี่ว่า “ตู้แช่แข็งของอเมริกา” เพราะมันเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอากาศหนาวเหน็บที่สุดในสหรัฐฯ ที่นี่มีประชากรอยู่ราว 6,300 คน อุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ -21.4 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เคยวัดได้คือ -48 องศาเซลเซียส บาร์โรว์ สหรัฐอเมริกา (Barrow, AK) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก wunderground เมืองขึ้นชื่อในรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ด้วยความหนาวเหน็บสุดใจขาดดิ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยที่ -29.1 องศาเซลเซียส ทำให้ตลอด 30 วันของเมืองนี้ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว อันเป็นที่มาของนวนิยายและภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง '30 Days of Night' นั่นเอง อูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย (Ulan Bator, Mongolia) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก mad-research ถ้าจะถามหาเมืองหลวงที่ครองแชมป์อากาศหนาวที่สุดในโลก หลายคนคงคิดถึงกรุงมอสโก ของประเทศรัสเซีย แต่ที่จริงแล้วมันคือ กรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ที่มีประชากรราว 960,000 คน ส่วนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่ -36 ถึง -40 องศาเซลเซียส ศูนย์วิจัยยูเรก้า ประเทศแคนาดา (Eureka, Nunavut) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia ศูนย์วิจัยแบบถาวรชื่อ ยูเรก้า ตั้งอยู่ในเขตนูนาวุต ซึ่งเป็นเขตที่มีอากาศหนาวเหน็บที่สุดในประเทศแคนาดา อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในฤดูหนาวอยู่ที่ -41.1 องศาเซลเซียส ที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่ถาวร แต่นักวิจัยมักจะแวะเวียนมาทดลองบางอย่างอยู่เสมอ ทำให้ศูนย์แห่งนี้ไม่เคยขาดผู้อาศัย สถานีวอสตอค แอนตาร์กติกา (Vostok Station, Antarctica) 10 พื้นที่ที่หนาวสุดในโลก ภาพจาก Wikipedia นี่คือสถานที่ที่หนาวเหน็บที่สุดในโลก สถานีวอสตอคเป็นสถานีวิจัยในทวีปแอนตาร์กติกาของประเทศรัสเซีย โดยวิจัยเกี่ยวกับการเจาะแกนน้ำแข็งและการวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในฤดูหนาวอยู่ที่ -65 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยราว -42 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เคยบันทึกเอาไว้ได้เมื่อปี 1983 คือ -89.2 องศาเซลเซียส !

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

แคว้นต่างๆในฝรั่งเศส




แต่เดิมประเทศฝรั่งเศสมีชนดั้งเดิมมายึดครองอยู่คือชาว "Gaulois"พวกเขาได้เรียกประเทศฝรั่งเศสว่า LE GAULE

1.ILe-de-France ที่ตั้งอยู่ที่ Bassin Parisien อาหารประจำแคว้นได้แก่ เนย,สถานที่สำคัญของแคว้นได้แก่ Versailles ราชวังของพระเจ้าLouisXIV ปารีสเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส

2.Centre อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Pays de Loire เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พืช,ผักสวนครัว,องุ่น,ข้าวโพด

3.Pays de Loire แคว้นนี้มีชายแดนทางตะวันตกติดกับแคว้น Bretagne ทิศตะวันออกติดกับแคว้น Centre ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับที่ราบสูง มีเมืองหลวงชื่อว่า Nantes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ไร่องุ่น ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือเหล้าองุ่นขาว แคว้นนี้มีปราสาทสวยงามมากมายที่สุดในฝรั่งเศส

4.Bretagne เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศสที่ไม่มีการผลิตเหล้าองุ่น เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสมที่จะปลูกองุ่น แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล เมืองหลวงของแคว้นมีชื่อว่า Rennes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ พืชไร่ที่เราเรียกว่า le cidre ขนมที่ขึ้นชื่อคือ Crepes เมืองท่าที่สำคัญมีชื่อว่า Brest ส่วน Saint-Malo เป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้น

5.La Basse-Normandieเป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนือติดกับอ่าว Manche ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแคว้น Bretagne และทางทิศตะวันออกติดกับแคว้น Haute-Normandie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Caen ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าวสาลี,นม,การประมง สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ Le Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่สถาปัตแบบโรมัน สร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล

6.La Haute-Normandie มีเขตติดต่อกับแคว้น Basse-Normandie มีการผลิตเนยชั้นนำคุณภาพ และนำแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อย เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Rouen

7.Picardie เป็นแคว้นที่ค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศส มีเมือง Amiens เป็นเมืองหลวง ผลผลิตสำคัญคือ ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์,การปลูกหัวผักกาดหวาน

8.Nord-Pas de Calais แคว้นนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศฝรั่งเศส มีเมือง Lille เป็นเมืองหลวงประจำแคว้น เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่มีรถไฟใต้ดินวิ่งป็นเมืองแรกในฝรั่งเศส แคว้นนี้ผลิตเบียร์อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์

9.Le Champagne แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Picardie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Chalons-sur-Marne ผลผลิตสำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์ สถานที่สำคัญประจำแคว้นนี้คือ" โบสถ์เมือง Reims "ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมGothique

10.Lorraine ที่ตั้งของแคว้นนี้อยู่ทางชายแดนประเทศเบลเยี่ยม,ประเทศลักเซมเบอร์กและประเทศเยอรมัน เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Nancy ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลีและการเลี้ยงสัตว์

11.Alsace เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Lorraine มีเมืองหลวงชื่อ Strasbourg ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้างสาลี,องุ่น,ข้าวโพด,ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงประจำแคว้นได้แก่ เหล้าองุ่นขาวคุฌภาพเยี่ยม


12.Franche-Comte แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองหลวงชื่อว่า Besacon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ขนมปัง,เครื่องเทศ นาฬิกาชั้นนำมักจะผลิตที่นี้เป็นสินค้าส่งออก อาหารดังประจำแคว้นเนื่องจากว่าแคว้นนี้ผลิตเบียร์ได้มากจึงมีเบียร์คุณภาพ,เนยคุณภาพดี

13.La Bourgogne ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้น Champagne, อยู่ทางตะวันออกของ Pays de Loire ทางทิศตะวันตกของ Franche-Comte และทิศเหนือของแคว้น Rhone-Alpes เมืองหลวงชื่อ Dijon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,นม,เหล้าองุ่น อาหารดังประจำแคว้นมีชื่อว่า ไก่อบเหล้า,หอยทากอบ เหล้าองุ่นและเหล้าชนิดอื่นก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังของดยุ๊ก

14.Rhone-Alpes ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Bourgogne และ Franche-comte เมืองหลวงมีชื่อว่า Lyon ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,การเลี้ยงสัตว์,ข้าวสาลี,ข้าวโพด

15.L'Auvergne เป็นแคว้นที่มีภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของแคว้น Limousin ทางทิศใต้ของแคว้น Bourgogne เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Clermont-Ferrand ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวบาร์เลย์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ โบสถ์ Notre-Dame

16.Limousin เป็นแคว้นที่มีการเลี้ยงแกะ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เมืองหลวงชื่อ Limoges ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว แพะ แกะ สินค้าประจำแคว้นได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา,เครื่องเคลือบลายคราม

17.Poitou-Charentes แคว้นนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น Limousin อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น Centre เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Poitiers สินค้าประจำแคว้นได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์,องุ่น,เหล้า

18.Aquitaine เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่มีชายฝั่งออกติดกับแนวมหาสมุทรแอตแลนติค เมืองหลวงชื่อ Bordeaux สินค้าของแคว้นคือ องุ่น,ยาสูบ,ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์ และผลิตเหล้าคุณภาพดีมีลูกพรุนรสชาติดีนิยมกันมาก

19.Midi-Pyrenees ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Aquitain และอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Auverne เมืองหลวงชื่อ Toulouse ซึ่งแคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองที่มีการผลิตเครื่องบิน ผลผลิตที่สำคัญของแคว้นได้แก่ เนย,เนยแข็ง

20.Lanquedoc-Roussillon เป็นแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้น Provence ทางตอนใต้ติดกับทะเลสาป เมืองหลวงชื่อ Montpellier ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นคือ องุ่น,เหล้าไวน์ ,พืชผักสวนครัว,เหล้า สถานที่สำคัญได้แก่ Site เป็นเมืองท่าสำคัญ,เมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ

21.Provence-Cote d'Azur ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกัยอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Marseille ผลผลิตที่สำคัญคือการปลูกดอก lavande ,การปลูกไร่องุ่น,การเพาะปลูกพืชผักสวนครัว

22.Corse แคว้นนี้ลักษณะเป็นเกาะอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของเมืองนีช เมืองหลวงชื่อ Ajaccio ผลผลิตสำคัญได้แก่ ลูกเกาลัด,องุ่น,ผลไม้,ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร,เนยแข็งจากนมแกะ,เหล้าองุ่นแดงและชมพู ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเด่นของแคว้นCorse

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

1. ชีเชน อิตซา (Chichen Itza) : เม็กซิโก
ชีเชนอิตซา เป็นภาษามายา แปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เป็นแหล่งโบราณคดีที่สร้างขึ้นโดยชาวมายันซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้า

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง 
     ชีเชนอิตซา มีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ พื้นที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า “วิหารแห่งนักรบ” สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น นอกจากนี้ในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน ซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้าย และเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง


2. คริชตู เรเดงโตร์ (Cristo Redentor) หรือ (Christ the Redeemer) : บราซิล

     รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล นอกจากจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความหมายถึงศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เมืองริโอ เดอ จาเนโร โด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วย 

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
     รูปปั้นพระคริสต์นี้มีความสูงถึง 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยเอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสถึง 5 ปีด้วยกัน ที่นี่ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิลอีกด้วย ทำให้ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1.8 ล้านคนทีเดียว


3. กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) : จีน

     กำแพงเมืองจีนนี้ สร้างขึ้นจีนสมัยสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกล และเติร์กในอดีต และหลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ความยิ่งใหญ่ และประวัติศาสตร์อันยาวนานนี่เอง ทำให้กำแพงเมืองจีนนอกจากจะเป็น 1 ใน 7 มหัศจรรย์ของโลกแล้ว ยังเป็น 1 ในมรดกโลก ที่องค์กร UNESCO คัดเลือกอีกด้วย
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง


4. มาชูปิกชู (Machu Picchu) : เปรู

     เมืองสาบสูญแห่งอินคา หรือ มาชูปิกชู แห่งนี้ เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,350 เมตร ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง เพราะตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน และโรคระบาด เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ และได้ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอมเริกัน ไฮแรม บิงแฮม ในปีค.ศ. 1911

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง 
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
     นอกจากนี้ มาชูปิกชู เป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา องค์กร UNESCO จึงได้กำหนดให้ มาชูปิกชูเป็นมรดกโลก โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์


5. นครเปตรา (Petra) : จอร์แดน

     นครเปตรา ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซี กับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้ในสมัยโบราณนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน และถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี ซึ่งได้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ในปี ค.ศ. 1812

 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
     ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมัน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณ ทำให้นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์กร UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง


6.โคลอสเซียม (Colosseum) : อิตาลี

     โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬาโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้น สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมนี้ เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียน แห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 10 ปีด้วยกัน ที่แห่งนี้มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว หรือให้สู้กับสิงโต เพื่อเป็นความบันเทิงให้แก่ผู้ชม ผู้ที่รอดตายจากการต่อสู้จึงจะได้รับอิสรภาพ

 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
     โคลอสเซียม เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐ และหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วย โคลอสเซียมจึงกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง


7.ทัชมาฮาล (Taj Mahal) : อินเดีย

     สุสานหินอ่อน ทัชมาฮาล แห่งนี้ ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลกที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุล ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์  

 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
     ทัชมาฮาล ตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอาครา ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศ ได้รับคำรับรองว่าสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุด รวมถึงยังได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างชั้นเลิศของสถาปัตยกรรมมุฆัลในอินเดีย ที่นี่ต้องใช้แรงงานในการก่อสร้างถึง 20,000 คน และใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี 

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
 
 

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

Les Baux-de-Provence

ผมเชื่อเหลือเกินว่ายังมีนักเดินทางอีกมากมายที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ยลความงามของ LES BAUX DE PROVENCE อย่าว่าแต่ได้ไปเยี่ยมเยือนเลย ลำพังได้ยินแค่ชื่อก็คงนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าสวรรค์แห่งนี้มันตั้งอยู่แห่งหนตำบลใด???? หากไม่บอกก็คงพอจะเดาได้ว่ามันคงต้องอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสอย่างแน่นอน เพราะคำใบ้ที่ชี้ทางสว่างให้แก่เหล่านักเดินทาง ผู้ซึ่งแสวงหาความเป็นเลิศก็คือ Provence ดินแดนแห่งทุ่งลาเวนเดอร์ที่งดงามกลิ่นละมุน ซึ่งหากเราตั้งต้นจากเมืองใหญ่ที่รื่นรมย์อย่าง Aix en Provence ขับรถมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยระยะทางเพียง 73 กิโลเมตร ลัดเลาะทิวเขาหินสลับกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ บรรยากาศสองข้างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติแปลกตาของโขดหินน้อยใหญ่ที่เสมือนว่าถูกจัดวางไว้อย่างจงใจ ถนนสายเล็กที่คดเคี้ยวไปมาตามเชิงเขา และเมื่อเราพ้นโค้งขอบภูเขาสูงที่ทำหน้าที่เสมือนป้อมปราการชั้นเยี่ยมให้แก่ Les Beaux De Provence ภาพที่อยู่เบื้องหน้านั้น มันงดงามเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆ
Tour Les Baux de Provence 2
เมืองขนาดย่อมที่ถูกสร้างสรรค์เล่นระดับจากเชิงเขาเตี้ยๆ และค่อยๆเพิ่มระดับความชันเมื่อเราเดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบน บ้านเรือนที่ปลูกสร้างโดยใช้หินก้อนเขื่อง จัดเรียงซ้อนกันอย่างงดงาม เกิดเป็นบ้านพักอาศัยของชุมชนเล็กๆแห่งนี้ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถนนสายเล็กที่เป็นสายหลักเพียงเส้นเดียวของหมู่บ้าน ได้รับการก่อสร้างตามวิถีของวิศวกรโบราณ ที่ใช้หินขนาดใหญ่ปูทาบทับ จัดเรียงร้อยต่อกัน ทั้งทำให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง และสวยงามแบบคลาสสิคต่อคนในยุคปัจจุบัน ตัดผ่านบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งทาง
Tour Les Baux de Provence 3
กาลเวลาได้แปรเปลี่ยนให้อาคารเหล่านี้จากที่พักอาศัย มาเป็นร้านค้าน้อยใหญ่ ที่มีไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวกว่าปีละ 1.5 ล้านคนที่ได้มาเยือน ด้วยความชาญฉลาดของเหล่าบรรดาผู้ปกครองเมืองตั้งแต่ยุคกลาง ที่ตั้งใจเลือกสถานที่แห่งนี้สร้างเป็นเมืองที่สำคัญในการปกครองพื้นที่บริเวณโดยรอบ ด้วยชัยภูมิที่เหมาะสม บ้านเรือนที่เล่นระดับลัดเลาะจากล่างสู่บน ทำหน้าที่เป็นปราการด่านที่สอง หากเหล่าอริศัตรูจะหาญกล้าเข้าโจมตีปราสาทหินหลังมหึมาที่ตั้งตระหง่าน เขย่าขวัญและกำลังใจของผู้รุกรานอยู่ที่ด้านบน
Tour Les Baux de Provence 4
ที่ด้านบนสุดของภูเขาหินลูกใหญ่ เป็นที่ตั้งของ Château des Baux ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตบรรจง ห้องโถงมากมาย ถูกสร้างขึ้นโดยการขุด เจาะ เข้าไปยังผนังของภูผา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถรับมือกับการบุกโจมตีได้อย่างแน่นอน ด้วยความเป็นเลิศทางวิศวกรรมของวิศวกรยุคกลาง ระบบการจัดเก็บน้ำฝน ที่มีปริมาณเพียงน้อยนิดในพื้นที่บริเวณนี้ สามารถจัดสร้างรางน้ำที่รองรับน้ำฝน ให้ไหลเชื่อมไปสู่ห้องเก็บน้ำที่ถูกสร้างไว้ที่ชั้นล่างสุดของปราสาท ด้วยปริมาณน้ำที่สามารถเลี้ยงดูผู้ที่อยู่อาศัยได้นานนับปี แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่แขกผู้มาเยือน คือทัศนียภาพอันงดงามเมื่อเราได้ปีนป่ายขึ้นไปที่ตัวกำแพงที่อยู่ด้านบนสุด นอกจากจะทำหน้าที่ในการป้องกันเมืองแล้ว มันยังทำให้เราสามารถชื่นชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาได้ไกลสุดลูกหูลูกตา นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงความชาญฉลาดของเหล่าผู้ปกครอง ที่สามารถเลือกใช้ความได้เปรียบของสถานที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะหากคราใดที่มีศัตรูมารุกราน ก็จะสามารถมองเห็นและจัดการป้องกันได้อย่างทันท่วงที
Tour Les Baux de Provence 5
นอกจากนี้ ที่ลานสนามหญ้ากว้างใหญ่ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือบริเวณรอบๆตัวปราสาท ยังใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอาวุธโบราณ ที่ยากจะหาชมได้จากที่ใดๆ อาทิ เครื่องยิงหินที่เราเพียงแค่เคยเห็นจากภาพยนตร์เท่านั้น เครื่องกระทุ้งประตูที่ยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม กลุ่มอาคารที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีเดียวกันกับตัวปราสาทใหญ่ หินก้อนยักษ์ที่ได้รับการสกัดให้เป็นที่พักของเหล่าทหารกล้า เครื่องมือทรมานนักโทษที่เหล่านักท่องเที่ยวจะต้องแวะไปเก็บภาพเป็นที่ระลึก ลำพังการที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ เราก็สามารถอิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่งดงามของธรรมชาติโดยรอบ อีกทั้งยังคงมีความเข้มขลังของสถานที่ ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีต มันได้ยืนโต้ท้าทายกาลเวลามาอย่างยาวนาน และเมื่อเราหันหลังจากมา ความรื่นรมย์ของบ้านเรือน ร้านค้าที่แสนจะคึกคัก ก็ยังจะทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ Les Beaux De Provence อีกหนึ่งความน่ามหัศจรรย์ของเมืองสวยที่ทรงเสน่ห์ หากแต่ซ่อนเร้นจากสายตาของนักเดินทางส่วนใหญ่ ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร คุ้มแล้วที่ได้มาเยือนซักครั้งในชีวิต

Les Baux-de-Provence

ผมเชื่อเหลือเกินว่ายังมีนักเดินทางอีกมากมายที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ยลความงามของ LES BAUX DE PROVENCE อย่าว่าแต่ได้ไปเยี่ยมเยือนเลย ลำพังได้ยินแค่ชื่อก็คงนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าสวรรค์แห่งนี้มันตั้งอยู่แห่งหนตำบลใด???? หากไม่บอกก็คงพอจะเดาได้ว่ามันคงต้องอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสอย่างแน่นอน เพราะคำใบ้ที่ชี้ทางสว่างให้แก่เหล่านักเดินทาง ผู้ซึ่งแสวงหาความเป็นเลิศก็คือ Provence ดินแดนแห่งทุ่งลาเวนเดอร์ที่งดงามกลิ่นละมุน ซึ่งหากเราตั้งต้นจากเมืองใหญ่ที่รื่นรมย์อย่าง Aix en Provence ขับรถมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยระยะทางเพียง 73 กิโลเมตร ลัดเลาะทิวเขาหินสลับกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ บรรยากาศสองข้างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติแปลกตาของโขดหินน้อยใหญ่ที่เสมือนว่าถูกจัดวางไว้อย่างจงใจ ถนนสายเล็กที่คดเคี้ยวไปมาตามเชิงเขา และเมื่อเราพ้นโค้งขอบภูเขาสูงที่ทำหน้าที่เสมือนป้อมปราการชั้นเยี่ยมให้แก่ Les Beaux De Provence ภาพที่อยู่เบื้องหน้านั้น มันงดงามเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆ
Tour Les Baux de Provence 2
เมืองขนาดย่อมที่ถูกสร้างสรรค์เล่นระดับจากเชิงเขาเตี้ยๆ และค่อยๆเพิ่มระดับความชันเมื่อเราเดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบน บ้านเรือนที่ปลูกสร้างโดยใช้หินก้อนเขื่อง จัดเรียงซ้อนกันอย่างงดงาม เกิดเป็นบ้านพักอาศัยของชุมชนเล็กๆแห่งนี้ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถนนสายเล็กที่เป็นสายหลักเพียงเส้นเดียวของหมู่บ้าน ได้รับการก่อสร้างตามวิถีของวิศวกรโบราณ ที่ใช้หินขนาดใหญ่ปูทาบทับ จัดเรียงร้อยต่อกัน ทั้งทำให้เกิดความมั่นคงแข็งแรง และสวยงามแบบคลาสสิคต่อคนในยุคปัจจุบัน ตัดผ่านบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งทาง
Tour Les Baux de Provence 3
กาลเวลาได้แปรเปลี่ยนให้อาคารเหล่านี้จากที่พักอาศัย มาเป็นร้านค้าน้อยใหญ่ ที่มีไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวกว่าปีละ 1.5 ล้านคนที่ได้มาเยือน ด้วยความชาญฉลาดของเหล่าบรรดาผู้ปกครองเมืองตั้งแต่ยุคกลาง ที่ตั้งใจเลือกสถานที่แห่งนี้สร้างเป็นเมืองที่สำคัญในการปกครองพื้นที่บริเวณโดยรอบ ด้วยชัยภูมิที่เหมาะสม บ้านเรือนที่เล่นระดับลัดเลาะจากล่างสู่บน ทำหน้าที่เป็นปราการด่านที่สอง หากเหล่าอริศัตรูจะหาญกล้าเข้าโจมตีปราสาทหินหลังมหึมาที่ตั้งตระหง่าน เขย่าขวัญและกำลังใจของผู้รุกรานอยู่ที่ด้านบน
Tour Les Baux de Provence 4
ที่ด้านบนสุดของภูเขาหินลูกใหญ่ เป็นที่ตั้งของ Château des Baux ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตบรรจง ห้องโถงมากมาย ถูกสร้างขึ้นโดยการขุด เจาะ เข้าไปยังผนังของภูผา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถรับมือกับการบุกโจมตีได้อย่างแน่นอน ด้วยความเป็นเลิศทางวิศวกรรมของวิศวกรยุคกลาง ระบบการจัดเก็บน้ำฝน ที่มีปริมาณเพียงน้อยนิดในพื้นที่บริเวณนี้ สามารถจัดสร้างรางน้ำที่รองรับน้ำฝน ให้ไหลเชื่อมไปสู่ห้องเก็บน้ำที่ถูกสร้างไว้ที่ชั้นล่างสุดของปราสาท ด้วยปริมาณน้ำที่สามารถเลี้ยงดูผู้ที่อยู่อาศัยได้นานนับปี แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่แขกผู้มาเยือน คือทัศนียภาพอันงดงามเมื่อเราได้ปีนป่ายขึ้นไปที่ตัวกำแพงที่อยู่ด้านบนสุด นอกจากจะทำหน้าที่ในการป้องกันเมืองแล้ว มันยังทำให้เราสามารถชื่นชมทิวทัศน์แบบ 360 องศาได้ไกลสุดลูกหูลูกตา นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงความชาญฉลาดของเหล่าผู้ปกครอง ที่สามารถเลือกใช้ความได้เปรียบของสถานที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะหากคราใดที่มีศัตรูมารุกราน ก็จะสามารถมองเห็นและจัดการป้องกันได้อย่างทันท่วงที
Tour Les Baux de Provence 5
นอกจากนี้ ที่ลานสนามหญ้ากว้างใหญ่ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือบริเวณรอบๆตัวปราสาท ยังใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอาวุธโบราณ ที่ยากจะหาชมได้จากที่ใดๆ อาทิ เครื่องยิงหินที่เราเพียงแค่เคยเห็นจากภาพยนตร์เท่านั้น เครื่องกระทุ้งประตูที่ยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม กลุ่มอาคารที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีเดียวกันกับตัวปราสาทใหญ่ หินก้อนยักษ์ที่ได้รับการสกัดให้เป็นที่พักของเหล่าทหารกล้า เครื่องมือทรมานนักโทษที่เหล่านักท่องเที่ยวจะต้องแวะไปเก็บภาพเป็นที่ระลึก ลำพังการที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ เราก็สามารถอิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่งดงามของธรรมชาติโดยรอบ อีกทั้งยังคงมีความเข้มขลังของสถานที่ ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีต มันได้ยืนโต้ท้าทายกาลเวลามาอย่างยาวนาน และเมื่อเราหันหลังจากมา ความรื่นรมย์ของบ้านเรือน ร้านค้าที่แสนจะคึกคัก ก็ยังจะทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ Les Beaux De Provence อีกหนึ่งความน่ามหัศจรรย์ของเมืองสวยที่ทรงเสน่ห์ หากแต่ซ่อนเร้นจากสายตาของนักเดินทางส่วนใหญ่ ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร คุ้มแล้วที่ได้มาเยือนซักครั้งในชีวิต

ลียง ประเทศฝรั่งเศส

ลียง (Lyon) เมืองใหญ่อันดับที่สามของฝรั่งเศส เมืองใหญ่ที่มีมนต์ขลังของเมืองเก่าแต่งแต้มด้วยความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม น่าสัมผัส ชวนหลงใหลแก่แขกผู้มาเยือน เมืองที่ถูกปกครองโดยโรมันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 เมืองที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมระหว่างเหนือและใต้ เมืองที่มีแม่น้ำสายสำคัญสองสายขนาบข้าง Rhone ทางฝั่งตะวันออก และ Saone ทางฝั่งตะวันตก จึงทำให้เมืองแห่งนี้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ผลดีจากการอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน สถาปัตยกรรมต่างๆที่ปรากฏอยู่ทุกหัวระแหง จึงได้รับอิทธิพลมาจากโรมันด้วยเช่นกัน อาคารหลังสวย นำพุที่งดงาม โบสถ์เก่าแก่ที่เข้มขลัง ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองใหญ่เมืองนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกควรค่าแก่การรักษาสืบต่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชมสิ่งที่บรรพชนได้รังสรรค์ผลงานที่วิจิตรตระการตาทิ้งเอาไว้ให้ชม
Lyon-France-2
หากเรามีเวลาเพื่อออกเดินสำรวจความงดงามของตัวเมืองเก่า (Old Town) Vieux Lyon เป็นย่านที่เหมาะสำหรับการเดินทอดน่องชมวิวแม่น้ำ Saône เป็นอย่างยิ่ง จุดเด่นที่สามารถมองเห็นแต่ไกลก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำที่งดงามชื่อว่า Passerelle Saint-Georges ตัวสะพานเป็นสีแดงสด ได้รับการออกแบบให้เหมือนสะพานแขวนแบบโบราณ
Lyon-France-3    Lyon-France-4
เป็นจุดที่คนรักการถ่ายภาพจะต้องกดชัตเตอร์กันมือระวิง เพราะที่ฝั่งตรงข้ามจะเจอ Cathedral Saint Jean มันดูเหมือนจะเป็นฉากจากในภาพยนตร์มากกว่าที่จะเป็นเมืองจริงๆ การออกแบบสถาปัตยกรรมของเมืองเก่านี้จะเป็นสไตล์เรอนาซองส์ (Renaissance) เรียกได้ว่าสวยงามเป็นรองแค่เวนิสของอิตาลีเท่านั้นเอง ถนนสายเล็กและแคบที่ตัดลัดเลาะไปตามตัวเมืองนั้นสามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลาง ยุคที่พวกมันถูกสร้างขึ้นมา อาคารริมฝั่งถนนก็ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง ศตวรรษที่ 17 แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
Lyon-France-5    Lyon-France-6
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความงดงามของโบสถ์ในยุโรป ต้องยินดีที่จะได้รู้ว่าในเขตเมืองเก่านี้มีโบสถ์สำคัญที่สวยงามอยู่รวมกันถึงสามโบสถ์ St.Paul , St.Jean และ St.Georges โดยปกติแล้วบริเวณเมืองเก่านี้จะพลุกพล่านสุดๆในช่วงตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงย่ำค่ำ เพราะฉะนั้นหากเราต้องการที่จะได้รูปสวยๆโดยไปติดหัวนักท่องเที่ยว เราก็ควรที่จะต้องออกมาเดินสำรวจเมืองกันตั้งแต่ช่วงเช้าๆ และถ้าหากอยากได้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป การแบกกล้องและขาตั้งออกมาหามุมสวยถ่ายรูปตอนดึกๆ Old Lyon ก็จะมอบประสบการณ์ที่สุดแสนพิเศษให้กับเรา มุมมองที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ในตอนกลางวัน ความคลาสสิค ความขลัง บรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก
Lyon-France-8
เมื่อมาถึงลียงคงไม่พลาดที่จะขึ้นไปเยี่ยมชม Basilique Notre Dame de Fourviere วิหารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเนินสูงที่สามารถแลเห็นได้แต่ไกล การขึ้นไปสักการะนั้นจะต้องอาศัยศรัทธาอันแรงกล้า เพราะจะต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันเพื่อให้ไปถึงตัววิหารที่อยู่ด้านบน แต่หากสังขารนั้นไม่อำนวย ก็อาจจะใช้ทางลัดโดยการขึ้นรถรางที่มีไว้บริการเช่นกัน Place des Terreauz จัตุรัสเมืองที่มีน้ำพุสวย The Fontaine Bartholdi ตั้งเด่นเป็นสง่า
Lyon-France-9    Lyon-France-10
บริเวณนี้เปรียบเสมือนจุดนัดพบของชาวเมืองเพราะจะมีผู้คนเดินไปมากันขวักไขว่ นักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกลุ่ม ก็มักจะแวะเวียนมายืนรอกันอยู่บริเวณนี้ เพราะจัตุรัสแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยม แม่น้ำทั้งสองสายขนาบสองฝั่งให้จัตุรัสนั้นอยู่ตรงกลาง มันช่างสุดยอดเสียเหลือเกิน การเดินเล่นในถนนสายเล็กอย่าง Montée de la Grande Côte จะสร้างประสบการณ์ที่ท่านไม่มีวันลืม ความงดงามของบ้านเรือนสีสวยสองฝั่งถนน พื้นที่ปูด้วยอิฐก้อนเขื่อง ร้านคาเฟ่ริมทางที่แสนจะเชื้อเชิญให้เข้าไปลี้มลองกาแฟกลี่นหอม หรือหากจะลองอาหารหลากหลาย ก็ให้ลองไปที่ถนน Rue St Jean แต่ต้องทำใจในความวุ่นวายอึกทึกของนักท่องเที่ยวที่ต่างหันรีหันขวางสั่งอาหารของตน แต่หากหลีกลี้ความอึกทึกมาที่ถนน Rue du Boeuf ที่ตั้งขนานอยู่กับ Rue St Jean ท่านจะแปลกใจในความเงียบสงบ อาหารรสเลีศแบบท้องถิ่นมีไว้บริการแก่ผู้รู้จริง
Lyon-France-11
หากไม่ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองซักครั้ง จะไม่มีทางเชื่อว่าเมืองใหญ่อย่างลียงจะมีเรื่องราวที่น่าค้นหาได้มากมายถึงเพียงนี้ เมืองใหญ่ ที่ทำตัวเสมือนเมืองเล็ก ที่ร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ ความงดงามของสถาปัตยกรรม แม่น้ำที่ชุ่มช่ำ โอบกอดเมืองไว้ทั้งเมือง เหมือนกับจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ลียง เมืองที่มีอดีตอันรุ่งเรือง จะคงอยู่ต่อไปชั่วกาลนาน


วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

เรื่องน่ารู้ก่อนไปเยือนฝรั่งเศส

Sleep in office
ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น
สิ่งที่ควรทำ – ไม่ควรทำ
1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า
หรือบงซัว (Bonsoir) ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น
กล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า โอ”เครอ”วัว (Au revoir)  ที่แปลว่า ลาก่อน
และกล่าวขอบคุณว่า แม็กซิ (Merci) ได้
Bonjour in France
2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง (la bise) ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง
Bise bise
3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริกรว่า”การ์ซ็อง (garçon)” ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่า boy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่ สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง
Boy = Garcon
4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย
pelouse interdite - garden permitt
5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ
Say Good bye
6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับ นั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง
Taxi in Paris
คุณอาจสนใจบทความเหล่านี้

เรื่องน่ารู้ในฝรั่งเศส



ฝรั่งเศสไม่นิยมการให้ทิป    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          ถ้าน้องๆ คนไหนที่คิดจะไปเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานพิเศษโดยหวังจะได้ทิปเยอะๆ นั้น ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากเลยค่ะ เพราะที่ฝรั่งเศสเค้าไม่นิยมให้ทิปกัน (บางคนมองว่าเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำ) ค่าบริการต่างๆ ถูกรวมไว้ในบิลแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่ม แต่ถ้าพนักงานบริการดีมากๆๆๆๆๆ อาจจะได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ซัก 1-2 ยูโรก็ได้

ต้นกำเนิดของเครป    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          "เครป" เป็นของหวาน (หรือคาว?) เมนูโปรดของน้องๆ หลายคน แต่รู้มั้ยว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเครปเกิดที่ฝรั่งเศสนี่แหละค่ะ หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเครปมีต้นกำเนิดที่ญี่ปุ่น เพราะตามร้านต่างๆ มักติดป้ายว่า "เครปญี่ปุ่น" 5555 โดยเมืองที่เป็นต้นกำเนิดแบบอิริจินัลแท้ๆ อยู่ที่แคว้นชื่อ "Bretagne" เป็นแคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยในอดีตนั้น คนฝรั่งเศสจะนิยมทานเครปกับน้ำผลไม้ค่ะ แต่ปัจจุบันนิยมทานกับผลไม้สดไม่ก็ช็อกโกแล็ต

ร้านขายยาที่ขาย "ยา"    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          ถ้าให้ลองนึกภาพร้านขายยาในปัจจุบัน นอกจากจะขายยาแล้ว แทบทุกร้านก็ยังมีขายเครื่องดื่ม หรือบางร้านใหญ่ๆ ก็มีเครื่องสำอาง มาสคาร่า หรือของใช้อื่นๆ ทิชชู่ หวี กระจก สารพัดจะหามาขาย แต่ร้านขายยาในฝรั่งเศสนั้นจะขายเฉพาะ"ยา" เท่านั้นค่ะ ซึ่งร้านขายยานั้นสามารถหาได้ง่ายตามมุมถนนทั่วไป เพราะคนฝรั่งเศสเค้าจริงจังเรื่องสุขภาพและการใช้ยามากกกก เคยมีการสำรวจพบว่า คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เสียเงินใช้จ่ายในการซื้อยามากที่สุดในยุโรป

จริงจังเรื่องสุขภาพ    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่เยี่ยมที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก สาเหตุก็มาจากว่า ทุกคนมีประกันสุขภาพ และประกันสุขภาพนี้จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น ป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยราคาของประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปีค่ะ

จำนวนนักท่องเที่ยว    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          ประเทศฝรั่งเศสมีประชากรจำนวน 64 ล้านคนซึ่งไม่แตกต่างจากประเทศไทยบ้านเรานัก แต่!!!!!! ประเทศฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 70 กว่าล้านคน ถือว่ามากกว่าจำนวนพลเมืองในประเทศด้วยซ้ำ สุดยอดเลยเนาะ นอกจากนี้ ยังถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดของปี 2011 (ใน 10 อันดับมีเอเชีย 3 ประเทศคือ จีน ตุรกี และมาเลเซีย)

ภาษีโทรทัศน์    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
         น่าแปลกดีเหมือนกันที่ใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย!! โดยตกประมาณ 200 ยูโรหรือ 8,000 บาทต่อปี ภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไปปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมากกกกค่ะ เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา (พูดง่ายๆ คือปกติรายการทีวีต้องมีโฆษณาเข้า ถึงจะมีรายได้ แต่รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา เลยต้องเก็บเป็นภาษีแทน) แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสนะคะที่มีการเก็บภาษีโทรทัศน์ เพราะประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน เดนมาร์ค ออสเตรีย เค้าก็มีเก็บเหมือนกันแถมแพงกว่าที่ฝรั่งเศสด้วย

ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          เราคงคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า The customer is always right. คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกค้าก็คือพระเจ้าและถูกอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่ฝรั่งเศสค่ะ ! ว่ากันว่าวิถีการให้บริการของคนที่นั่นค่อนข้างแข็งๆ ทื่อๆ ไม่ค่อยแคร์ลูกค้า เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เวลาเปิดร้านค้าในฝรั่งเศสขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขาย ไม่ได้จะแคร์ลูกค้า 555 

เจ้าแห่งรางวัลโนเบล    
8 สิ่งเล็กๆ (น่ารู้) ที่เรียกว่า "ประเทศฝรั่งเศส"
          ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่โรแมนติก ดังนั้นที่นี่จึงเป็นบ้านเกิดของกวีและนักเขียนชื่อดังมากมาย ที่สำคัญ ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมมากที่สุดของโลกด้วยค่ะโดยนักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก็เช่น J. M. G. Le Clézio หรือ ฌ็อง มารี กุสตาฟว์ เลอ เกลซีโย เป็นนักเขียนและนักเดินทางรอบโลกชาวฝรั่งเศส มีผลงานเขียนกว่า 40 เรื่อง จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมาค่ะ

Présentation