วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

15 สิ่งที่ควรเริ่มต้นทำในปีใหม่นี้ ถ้าอยากให้ชีวิตดียิ่งขึ้น

1. ปรับปรุงรูปร่างของตัวเอง

ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการตะบี้ตะบันลดความอ้วนนะคะ แต่หมายถึงการดูแลตัวเองให้มีรูปร่างสมส่วน ใครผอมไปก็ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อสักหน่อย ใครใส่ยีนส์ตัวโปรดแล้วเริ่มอึดอัดก็ควรหาเวลาออกกำลังกายได้แล้ว การดูแลรูปร่างให้สมส่วนน่ามองด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากจะทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเองแล้ว ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วยค่ะ

2. กินอาหารเพื่อสุขภาพ

อยู่ดีๆ จะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองกินแต่อาหารเพื่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ ปรุงแต่งรสชาติน้อย แบบนั้นถ้าใครทำได้มันก็ดีค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นมนุษย์ประเภท enjoy eating สุดๆ และยังไม่พร้อมหักดิบขนาดนั้นก็ไม่ใช่ความผิดอะไร แค่ลดของมันๆ ทอดๆ ลดของหวานลงหน่อย แล้วเพิ่มผักผลไม้มากขึ้นในแต่ละมื้ออาหาร เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมแล้ว

3. ใช้เวลากับเรื่องไร้สาระให้น้อยลง

คนนู้นคนนี้เลิกกัน ดาราแต่งตัวโป๊ เรื่องพวกนี้เมาท์กันเพลินๆ ก็สนุกปากดีค่ะ แต่อย่าไปใช้เวลากับมันมากเกินไปนัก ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ

4. ใช้เวลากับมุ่งสู่เป้าหมายให้มากขึ้น

คนเรามีเป้าหมายหลากหลาย ทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว ลองวางแผนชีวิตให้ดี จัดลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่องให้เหมาะสม (เช่น เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คให้น้อยลง เพื่อเอาเวลามาฝึกภาษาอังกฤษให้มากขึ้น) ทบทวนตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่คุณสนใจพิเศษ และลองใช้เวลาเอาจริงเอาจังกับสิ่งนั้นให้มากขึ้นดูไหมคะ

5. ตัดคนที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตไปบ้าง

เคยได้ยินกลอนสั้นๆ ที่ว่า ‘อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนเกลือดีมีน้อยด้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล’ ไหมคะ ลองมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมาสิว่า ใครบ้างที่มีแต่สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้เราตลอดเวลา ถ้าเอาตัวออกห่างได้ชีวิตก็น่าจะดีขึ้นไม่น้อยนะคะ หรือคนรักที่คบกันไปก็ดูไม่น่าจะรอดแน่ๆ ลองห่างกันสักพักให้แต่ละคนได้มีเวลาทบทวนความสัมพันธ์ดีกว่าไหม

6. ลาออกจากงานที่เกลียดซะ

บางคนไม่กล้าลาออกจากงานที่ไม่ชอบ เพราะกลัวสูญเสียความมั่นคงทางการเงิน แต่การทนอยู่กับสิ่งที่เกลียดมีแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกเบื่อหน่ายทุกครั้งเมื่อต้องตื่นไปทำงาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่มีกระจิตกระใจจะพัฒนาตัวเอง แบบนี้ถอยออกมาตั้งหลักก่อนดีไหมคะ

7. เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าตัดสินใจด้วยตัวเองให้มากขึ้น

โดยธรรมชาติแล้ว คนเรามีบุคลิกความเป็นผู้นำมากน้อยไม่เท่ากัน ซึ่งหากทำงานร่วมกันก็จะค่อนข้างเห็นชัดเลยค่ะว่าใครเป็นคนแบบไหน และถึงแม้จะแตกต่างก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะคนทั้งสองแบบสามารถช่วยเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายขาดไปได้ แต่สำหรับการใช้ชีวิต ไม่มีใครมาเป็นผู้นำและตัดสินใจให้เราได้ดีพอในทุกๆ เรื่อง ฉะนั้น ใครที่พึ่งพาแต่คนอื่นมาโดยตลอด ควรเริ่มต้นฝึกตัดสินใจด้วยตัวเองบ้างนะคะ

8. ใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

คนส่วนใหญ่ยิ่งเติบโตขึ้น ก็ยิ่งมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่พวกเขาก็คือคนที่รักเรามากที่สุด แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งการไปเที่ยว ไปสังสรรค์กับเพื่อนที่พูดจาภาษาเดียวกัน มันย่อมสนุกกว่าไปกับครอบครัว แต่อย่าลืมแบ่งเวลาให้พ่อแม่ที่รอกินอาหารมื้อพิเศษกับเราบ้างนะคะ

9. คิดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

ถ้าต้องเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับตัวเองหนึ่งเรื่อง เลือกได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นในชีวิต คุณจะเลือกเขียนถึงเรื่องอะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณรักและหลงใหลมากที่สุด อะไรคือความสำเร็จสูงสุดในชีวิต อะไรที่ทำแล้วมีความสุขมากที่สุด หากยังหาไม่เจอหรือหาเจอแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จ เริ่มลงมือสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สายนะคะ

10. เลือกรับสารอย่างเหมาะสม

ในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์คที่บนไทม์ไลน์มีคนแชร์ข่าวสารนู่นนี่เต็มไปหมด มองมุมหนึ่งมันก็เป็นข้อดีที่ช่วยให้เราได้อัพเดทและทันโลกอยู่ตลอดเวลา แต่หลายครั้งสิ่งที่ถูกโพสต์บนบนอินเทอร์เน็ตมันเป็นเพียงความเห็นไม่ใช่ความรู้ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และใช้วิจารณญาณก่อนที่จะปักใช้เชื่อหรือแชร์ต่อด้วยนะคะ

11. ใช้ความหลงใหลขับเคลื่อนชีวิต

คนๆ หนึ่งสามารถมีความชอบหรือถนัดได้หลายอย่าง แต่ถ้ามานั่งคิดดูดีๆ แล้ว มันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะที่เราหลงใหลในสิ่งนั้นจริงๆ บางอย่างเราถนัดแต่ทำไปแล้วไม่มีความสุข เราจะยอมอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตเหรอคะ จงค้นหาสิ่งที่คุณหลงใหลและทำได้ดีให้เจอ แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นจะขับเคลื่อนคุณไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตค่ะ

12. เรียนรู้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้คำพูด ตั้งสเตตัส ตอบคอมเมนต์ หรือโต้ตอบอีเมล ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หลายคนก็พลาดกันอยู่บ่อยครั้ง เด็กจบใหม่บางคนถึงขั้นอดได้งาน เพราะสเตตัสห่ามๆ ที่ตั้งไว้ในเฟซบุ๊ค (ซึ่งคิดไปเองว่ามันเป็นพื้นที่ส่วนตัว) ก็มีเยอะนะคะ จงเตือนตัวเองไว้เสมอค่ะว่าต้องคิดทุกครั้งก่อนพิมพ์หรือพูด ที่สำคัญมากคือควรรู้กาลเทศะด้วยว่าเวลาไหนสามารถสื่อสารแบบสบายๆ ชิลล์ๆ ได้ และเวลาไหนที่ต้องสื่อสารอย่างทางการเพื่อความเป็นมืออาชีพ

13. ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน

ซาลารี่แมนญี่ปุ่นมีคำกล่าวว่า “ไม่มีสักวันเดียวที่จะผ่านไป โดยไม่มีการปรับปรุงส่วนหนึ่งส่วนใดในองค์กร” ซึ่งแนวคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เช่นกันค่ะ ทุกวันนี้โลกหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันก็สูงมากในทุกวงการ การปล่อยให้ตัวเองย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา ในขณะที่คนอื่นเขาวิ่งไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเรากำลังก้าวถอยหลังแล้วค่ะ

14. อย่าเริ่มต้นทำสิ่งที่ไม่คุ้มค่าแก่การเสียเวลา

หลายคนมีไอเดียอยากจะทำนู่นทำนี่เต็มไปหมด โดยเฉพาะเด็กเจนวายที่เติบโตมากับคลังข้อมูลมหาศาล พอเห็นคนอื่นทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จก็อยากได้อยากมีแบบเขาบ้าง แต่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ มักจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ แบบนี้ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จค่ะ ก่อนจะเริ่มต้นทำอะไรควรคิดให้รอบคอบ มองข้อดีข้อเสียของสิ่งนั้นอย่างรอบด้านก่อนเสมอ

15. มีความสุขและแบ่งปันความสุขนั้นแก่คนรอบข้าง

หมั่นสำรวจความคิดและความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ควรรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังคิดอะไร รู้สึกอะไร และอะไรทำให้เรารู้สึกแบบนั้น ช่วงไหนทุกข์ใจหรือเครียดมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกจากภาวะนั้นโดยเร็วที่สุด และเมื่อมีความสุขแล้วก็อย่าลืมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้แก่คนรอบข้างด้วยนะคะ ความสุขยิ่งแบ่งปันไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งกลับเข้ามาหาเราแบบทวีคูณค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในฝรั่งเศส

คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่ง ในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย จัดงานรื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอก ของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า เยซู” การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของวันคริสต์มาส จึงอยู่ที่การฉลองความรัก ที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

    เทศกาลคริสต์มาส เป็นเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศการเฉลิมฉลอง  ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว ทำให้นึกถึงคริสต์มาสในฝรั่งเศส  แต่ในฝรั่งเศส  และคาดว่าอีกหลายๆประเทศนั้น  คริสต์มาสเป็นวันครอบครัวค่ะ
    คนที่นี่จะถือโอกาสหยุดยาวลากลับไปเที่ยวบ้านพ่อแม่ และทานอาหารมื้อใหญ่กับครอบครัวค่ะ มื้อใหญ่จริงๆนะคะทานกว่าจะเสร็จหลายชั่วโมงค่ะ บางทีทานเที่ยง เสร็จหกโมงเย็นค่ะ อาหารที่ทานๆกันนั้นก็จะล้วนแล้วแต่เป็นของดีอย่างเช่น ฟัวการ์ (foie gras - ขออธิบายนะคะเป็นตับเป็ดที่รสชาติหวานร่อยมากค่ะ เวลาทาน ทานเหมือนแยมค่ะ ปาดบนขนมปัง โรยพริกไทยเล็กน้อย อร่อยอย่าบอกใครค่ะ) ไอวี่เองซื้อทานเป็นประจำ ถึงแม้จะไม่ใช่เทศกาลค่ะ ส่วนอาหารอื่นๆนะคะ ปลาแซลมอนรมควัน เนื้อขั้นดี ชีส ไวน์ บางบ้านอาจทาน ฟองดู เนื้อ หรือว่า ฟองดูชีส และสุดโปรดของไอวี่เอง คราเครท  raclette - เป็นการเอาชีสแผ่นไปละลายบนเตาแล้วราดทานกับแฮมเบค่อน มันฝรั่ง ผัก หรืออะไรก็ได้ค่ะ  

ในคืนนี้เองนั้นจะมีการแลกของขวัญค่ะ เหมือนที่เราอาจจะเคยเห็นในหนังฝรั่ง เราต้องมีของให้ทุกๆคนที่ไปนะคะ เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียวค่ะ ห้ามพลาดห้ามลืมแม้แต่คนเดียว

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ

วันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ

เทศกาลคริสต์มาส เป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า ” คริสต์มาส ” เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
ในภาษาไทย ” คริสต์มาส ” ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า “มาส” แปลว่า “เดือน” เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า”มาส” คือ”ดวงจันทร์” ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า”สันติสุขและความสงบทางใจ
คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เทคนิคการเรียนภาษาจากชายที่พูดได้ถึง 9 ภาษา

แมทธิว ยูลเดน’ เป็นคนธรรมดาๆ ที่ทำงานอยู่ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี เขาใช้ภาษาโปรตุเกสในการทำงานเป็นหลัก ทำให้เพื่อนร่วมงานน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นชายชาวอังกฤษที่พูดได้มากถึง 9 ภาษา และต่อไปนี้คือเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จากแมทธิวสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1.มีเหตุผลที่ดีในการเรียนภาษานั้นๆ
        มันอาจฟังดูซ้ำซาก แต่จริงๆ แล้วหากคุณไม่มีเหตุผลที่ดีพอในการเลือกเรียนภาษาใดภาษาหนึ่ง คุณอาจไม่มีแรงกระตุ้นมากพอในระยะยาวก็เป็นได้ หากคุณแค่ต้องการสร้างความประทับใจด้วยการพูดภาษาฝรั่งเศสให้คนที่พูดภาษาอังกฤษฟัง นั่นอาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของเหตุผลที่ไม่ดี แต่หากคุณอยากเรียนภาษาฝรั่งเศสเพื่อทำความรู้จักกับคนฝรั่งเศสและเรียนรู้วัฒนธรรมของพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป อย่างไรเสีย ไม่ว่าเหตุผลของคุณคืออะไรก็ตาม เมื่อเลือกเรียนภาษาใดภาษาหนึ่งแล้ว มันจำเป็นมากๆ ที่คุณจะต้องทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่
2.หาคนสนิทช่วยฝึก
        แมทธิวเรียนภาษาต่างประเทศหลายภาษาพร้อมๆ กับ ‘ไมเคิล’ คู่แฝดของเขาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เรียนภาษากรีก ซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศภาษาแรกของพวกเขา จนแตกฉานตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบเท่านั้น โดยแมทธิวระบุว่าการแข่งขันระหว่างพี่น้องช่วยให้เขาเรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่มีพี่น้องอย่างแมทธิวและไมเคิล การมีคนสนิทไม่ว่าจะในรูปแบบไหนคอยเรียนรู้ภาษาไปด้วยกันจะช่วยผลักดันให้คุณมีความพยายามมากขึ้นตลอดเวลาและไม่ล้มเลิกความพยายามเร็วเกินไป
“เราเคยมีแรงกระตุ้นกันมากๆ และก็ยังเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ เราผลักดันอีกฝ่ายให้เดินหน้าอย่างจริงจัง เมื่อไรก็ตามที่เขารู้สึกว่าผมทำได้ดีกว่า เขาจะรู้สึกอิจฉานิดๆ และพยายามที่จะเอาชนะผม และผมเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน” – แมทธิว ยูลเดน
3.พูดกับตัวเอง
        หากคุณไม่มีใครให้ฝึกฝนทักษะการพูดด้วยล่ะก็ การพูดกับตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะวิธีการนี้จะช่วยให้คำศัพท์และวลีต่างๆ ในหัวของคุณถูกนำออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้คุณประหม่าน้อยลงเวลาที่ต้องพูดคุยกับคนอื่นในสถานการณ์จริง
        “มันอาจจะฟังดูแปลกมาก แต่จริงๆ แล้วการพูดกับตัวเองในภาษานั้นๆ เป็นการฝึกฝนที่ดีมาก ในกรณีที่คุณไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษานั้นๆ ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา” – แมทธิว ยูลเดน
4.อย่าหลงทาง
       การพูดคุยกับคนอื่นในภาษานั้นๆ จะช่วยให้การเรียนภาษาของคุณไม่หลงทาง และถ้าคุณตั้งเป้าหมายและให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาเพื่อใช้ภาษานั้นๆ สนทนาจริงในชีวิตประจำวัน คุณจะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียนมากขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติ
       “คุณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ คุณแค่ไปกินร้านอาหารกรีกในเมืองแล้วสั่งอาหารเป็นภาษากรีกก็ได้” – แมทธิว ยูลเดน
5.สนุกไปกับมัน
       พยายามใช้ภาษาที่คุณเรียนรู้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ให้ได้มากที่สุด แมทธิวและไมเคิลฝึกฝนทักษะภาษากรีกของพวกเขาด้วยการแต่งเพลงและอัดเพลง นอกจากนี้ คุณยังอาจจัดรายการวิทยุกับเพื่อนในภาษนั้นๆ วาดการ์ตูนช่อง เขียนบทกวี หรือวิธีการง่ายๆ อย่างการพูดคุยกับใครก็ตามที่รู้ภาษานั้นๆ ก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว หากคุณไม่รู้สึกสนุกไปกับมัน นั่นแปลว่าคุณอาจจะกำลังหลงทางแล้วล่ะ
6.ทำตัวเหมือนเด็ก
       การเป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวและมีอาหารเลอะเทอะไปทั้งตัว แต่มันหมายความว่าคุณควรลองเรียนรู้แบบเด็กๆ ดูบ้าง ความเชื่อที่ว่าเด็กเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่นั้นไม่เป็นความจริง งานวิจัยใหม่ๆ ระบุว่าความสามารถในการเรียนรู้ไม่ขึ้นอยู่กับช่วงอายุแต่อย่างใด เคล็ดลับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพแบบเด็กๆ คือต้องมีทัศนคติแบบเด็กๆ เช่น การไม่เขินอาย ความยินดีที่ได้เรียนรู้ภาษาอื่น ความเต็มใจที่จะผิดพลาด เป็นต้น
เราทุกคนต่างเรียฯรู้จากความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ตอนเป็นเด็ก พวกเรามักถูกคาดหวังให้สร้างข้อผิดพลาด แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การพลั้งพลาดกลับกลายเป็นเรื่องต้องห้ามขึ้นมา ผู้ใหญ่หลายคนมีแนมโน้มที่จะพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” มากกว่า “ฉันยังไม่ได้ลองทำ” ขณะที่การล้มเหลวหรือการดิ้นรนในสังคมที่ว่ากลับไม่ได้เป็นข้อกังวลสำหรับเด็กมากนัก ดังนั้น เวลาเรียนภาษา การยอมรับว่าคุณไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่อิสระทางการเรียนรู้ จงปล่อยวางความคิดแบบผู้ใหญ่ของคุณซะ!  
7.ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน (comfort zone)
       การเต็มใจที่จะผิดพลาดหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายไม่มากก็น้อยเช่นกัน มันอาจฟังดูน่ากลัว แต่มันเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ปรับกรุงและพัฒนาทักษะของตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเรียนหนักแค่ไหน คุณจะไม่สามารถพูดคุยในภาษานั้นๆ ได้เลยหากคุณไม่เอาตัวเองออกไปเจอผู้คน พูดคุยกับคนแปลกหน้า ถามทาง สั่งอาหาร เรียนรู้ที่จะเล่นมุขตลก ฯลฯ ยิ่งคุณทำแบบนี้บ่อยเท่าไร คอมฟอร์ตโซนของคุณจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่อนคลายมากขึ้นเวลาเจอสถานการณ์ใหม่ๆ
8.ฟัง
      คุณจำเป็นต้องเรียนรู้การฟังก่อนที่จะพูด ทุกๆ ภาษาจะฟังดูประหลาดเสมอในครั้งแรกที่คุณฟังมัน แต่ยิ่งคุณฟังมันมากเท่าไร คุณก้จะยิ่งคุ้นเคยกับมันมากเท่านั้น การพูดของคุณก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง 
      “เรามีความสามารถที่จะออกเสียงทุกๆ อย่าง เราแค่ไม่คุ้นเคยกับมันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ตัว r แบบกระดกลิ้นที่ไม่มีในภาษาอังกฤษ แต่เมื่อผมเริ่มเรียนภาษาสเปนซึ่งมีตัว r กระดกลิ้นอย่างคำว่า ‘perro‘ หรือ ’reunión’ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะฝึกฝนมันจนชำนาญก็คือการฟังอย่างสม่ำเสมอและจินตาการว่าคำๆ นั้นออกเสียงอย่างไร เพราะว่าเสียงแต่ละเสียงใช้ปากและคอไม่เหมือนกันเพื่อให้ได้เสียงนั้นออกมา” – แมทธิว ยูลเดน
9. ดูคนอื่นพูด
ความแตกต่างของแต่ละภาษาไม่ได้อยู่แค่ที่การใช้ลิ้น ริมฝีปาก และลำคอที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น คุณยังต้องใช้ทัศนคติที่แตกต่างกันในการพูดแต่ละภาษาอีกด้วย ซึ่งการสังเกตและเลียนแบบเจ้าของภาษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และหากคุณไม่สามารถพบเห็นเจ้าของภาษาได้ในพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ การดูหนังหรือรายการทีวีที่พูดในภาษานั้นๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย 
“บางทีมันอาจฟังดูแปลก แต่คุณควรมองและสังเกตว่าเจ้าของภาษาเขาออกเสียงคำแต่ละคำอย่างไรบ้าง จากนั้น พยายามเลียนแบบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เชื่อผมเถอะ มันจะยากในช่วงแรกๆ แต่คุณจะทำได้ในที่สุด มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ คุณแค่ต้องฝนเยอะๆ เท่านั้นเอง” – แมทธิว ยูลเดน
10.ฝึกฝนอย่างหนักและต่อเนื่อง
     การแค่สัญญากับตัวเองว่าจะทุ่มเทกับการเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องฝึกฝนจริงๆ อย่างที่พูดด้วย แมทธิวแนะนำว่าควรฝึกฝนอย่างหนัก เขาบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมืออะไรช่วยในการเรียนรู้ภาษาใหม่ก็ตาม การฝึกฝนมันทุกๆ วันถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ
      “ผมชอบที่จะซึมซับความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาใหม่ เวลาผมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผมจะฝึกฝนด้วยการใช้มันตลอดวัน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสัปดาห์หนึ่งแล้ว ผมพยายามจะใช้ภาษานั้นในการคิด เขียน และพูดกับตัวเอง สำหรับผมแล้วมันคือการนำความรู้ที่ได้มาฝึกฝนใช้จริง การเขียนอีเมล์ การพูดกับตัวเอง ฟังเพลง ฟังวิทยุ ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อภาษาใหม่ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้น” – แมทธิว ยูลเดน

แหล่งข้อมูล: https://www.babbel.com/en/magazine/10-tips-from-an-expert?bsc=engmag-a1-vid-bv1-new-tipsandtricks-tb&btp=1_eng_tab_cd&slc=engmag-a1-vid-bv1-new-tipsandtricks-tb&utm_campaign=cd_engall_gen_cxx_tipsandtricks&utm_medium=cpc&utm_source=taboola
แหล่งภาพ : http://www.ngabo.org/prophetic/history/languages/what_is_the_meaning_of_the_word_language.html

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สุภาษิตสุดเจ๋ง ภาษาฝรั่งเศส

สุภาษิต - คำพังเพยภาษาฝรั่งเศส [ตอน II]

A chaque jour suffi sa peine.
ทุกข์ของวันนี้ก็พอแล้วสำหรับวันนี้

Chacun est le fils de ses œuvres.
แต่ละคนจะเป็นผลของผลงานของตน

Charité bien ordonnée commence par soi-même.
ความเมตตามักจะเริ่มต้นจากตัวเอง

Connais-toi toi-même.
จงพยายามรู้จักตนเอง

Il faut apprendre à obéir pour savoir commander.
ต้องหันที่จะเชื่อฟัง เพื่อที่จะสั่งเป็น

Il faut battre le fer pendant qu’il est chaud.
ต้องตีเหล็กขณะที่มันร้อนอยู่

Il faut semer pour cueillir.
ต้องหว่านเพื่อที่จะได้เก็บ

La main qui donne est au dessus de celle qui reçoit.
มือที่ให้ย่อมอยู่เหนือมือที่รับ (เป็นคนให้ย่อมดีกว่าเป็นคนรับ)

La patience vient à bout de tout.
ความอดทนทำให้ทำทุกอย่างได้

L’argent est un bon serviteur et un mauvais maître.
เงินเป็นคนรับใช้ที่ดีและเป็นนายที่เลว

Le mieux est l’ennemi du bien.
คำว่า “ดีกว่า” เป็นศัตรูของคำว่า “ดี”

Qui se repent, est presque innocent.
คนผิดที่สำนึกบาป ก็เกือบจะบริสุทธิ์แล้ว

Qui se fait brebis, le loup le mange.
คนที่ทำตัวเป็นลูกแกะ หมาป่าก็ต้องกิน

Trop de bonté devient faiblesse.
ดีเกินไปกลายเป็นคนอ่อนแอ

Qui n’a rien, ne craint rien.
คนที่ไม่มีอะไรเลย ไม่กลัวอะไรเลย

Il est aisé de dire, mais moins aisé de faire
ง่ายที่จะพูดแต่ยากที่จะทำ

Qui s’excuse, s’accuse.
คนที่แก้ตัวเท่ากับยอมรับว่าผิด

L’épée des femmes, c’est leur langue.
ดาบของผู้หญิงคือลิ้นของเธอนั่นเอง

Toute médaille a son revers.
เหรียญทุกอันย่อมมีอีกด้านเสมอ

Les hommes ne se mesurent pas à l’aune.
มนุษย์วัดไม่ได้ด้วยมาตราใดๆ ทั้งสิ้น

La vraie noblesse est celle du cœur.
การเป็นผู้ดีที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ

Pardonne à tous, mais non à toi.
จงยกทาให้กับทุกคน แต่อย่ายกโทษให้ตัวเอง

Ecris comme les habiles et parle comme tout le monde.
จงเขียนเหมือนคนฉลาด แต่จงพูดเหมือนคนทั่วๆ ไป

Pense deux fois avant de parler. Tu en parleras deux fois mieux.
จงคิดสองครั้งก่อนพูด แล้วคุณจะพูดดีเป็นสองเท่า

Pas à pas, on va loin.
ก้าวไปทีละก้าวเราจะไปได้ไกล

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วิธีจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบไม่มีวันลืม!!

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "อยากเก่งภาษาอังกฤษก็ท่องศัพท์เยอะๆสิ" 
ซึ่งหลายคนก็ได้นำมาใช้ แต่ก็ยังมีคนบอกว่าไม่เห็นจะเก่งขึ้นเลย
เทคนิคนี้อาจจะฟังดูง่ายๆครับ
แต่ถ้าเรานำไปใช้แบบไม่มีกระบวนการเนี่ย
มันก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์หรอกครับ
วันนี้ผมเลยจะมาอธิบายวิธีการนำเคล็ดลับนี้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
และแน่นอนครับ ผมจะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อๆเพื่อนจะได้นำไปใช้อย่างถูกต้องครับ

อันดับแรกเรามาดูอุปกรณ์ที่เราต้องเตรียมในการ ท่องคำศัพท์ ครับ
ก็มี สมุด 1 เล่ม ดินสอ(หรือปากกา) 1 แท่ง หูฟังหรือลำโพงไว้ฟังการออกเสียงที่ถูกต้องนะครับ (หากอยู่คนเดียวก็เปิดลำโพงเต็มที่เลยครับ หากอยู่กับเพื่อนก็อาจจะไส่หูฟังนิดนึง) โทรศัพท์หรืออะไรก็ได้ที่อัดเสียงได้
และนี้คือเว็ปตัวช่วยของเราครับ

http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/wordlist/english/oxford3000/
และแน่นอนเว็ปที่ขาดไม่ได้
https://translate.google.co.th/ ซึ่งเว็ปนี้เวลาเราจะใช้ ให้แปลที่ละคำนะครับ อย่ายกมาวางทั้งประโยค เพราะกูเกิ้ลแปลประโยคได้มั่วมากๆครับ

ที่นี้มาถึงคำถามที่หลายคนอาจเคยถาม
เริ่มท่องศัพท์ตั้งแต่คำไหนดี?
ซึ่งมีหลายคนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จะท่องคำไหน
ผมขอแนะนำให้ทุุกคนรู้จักกับ
'Oxford 3000 key words' ครับ (ตามลิ้งที่ผมให้ไป)
คือ คำศัพย์ 3000 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ หรือพูดง่ายๆก็คือคำศัพท์ 70% ที่ใช้อยู่ทุกคนวันก็มาจาก 3000 คำนี้และครับ
หลายคนอาจบอกว่า 'เยอะจังตั้ง 3000 แหน่ะ' 
เยอะ แต่ทุกคำเราได้ใช้แน่นอนครับ สู้ไว้ครับ

เรามาเริ่มกันเลยครับ
อันดับแรกเข้าไปที่ ลิ้งค์แรกที่ผมให้ 
เลื่อนมาข้างล่างสักนิดนึง เราจะเจอคำศัพท์เรียงกันยาวตามลำดับตัวอักษร(A-Z)ครับ
ไม่ต้องกดเข้าไปนะครับ เพราะเราสนใจแค่คำศัพท์และวิธีออกเสียงพอ ถ้ากดเข้าไปเขาจะอธิบายความหมายไว้ในภาษาอังกฤษ หรือพูดง่ายๆคือแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกทีครับ
แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูก็ไม่เป็นไรนะครับ
ที่นี้วิธีท่องคำศัพท์ของเราก็คือ ท่องอักษรละ 2 คำต่อวันครับ
เอ๊ะ หลายคนอาจจะงง อักษรละ 2 คำต่อวันยังไงหว่า
ก็คือวันนี้ให้เราท่องคำศัพท์ให้หมวด A-Z อย่างละสองคำ
ก็จะตกอยู่วันละ 52 คำครับ 
อาจจะฟังดูเยอะนะ วันละตั้ง 52 ครับ แต่จริงผมว่ามันก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ
แบ่งเวลาท่องออกเป็น 3 ช่วง
เช้าท่อง 15 คำ
เที่ยง 15 คำ
เย็น 15 คำ
ที่เหลือก่อนนอน
ถ้าใครฝืนตัวเองให้ทำจนเป็นนิสัยได้นะ ผมบอกเลยว่าคุณจะพัฒนาเยอะมากครับ
แต่ถ้าใครไม่ไหวจริงๆก็ให้ลดมาเหลือ อักษรละ 1 คำต่อวันก็ได้ครับ
แล้วให้เราจดคำศัพท์ที่เราท่องแต่ละวันลงในสมุดนะครับ
จดแค่ภาษาอังกฤษนะครับ คำแปลภาษาไทยไม่ต้องจด
ก็อย่างที่เคยอธิบายไปในบทความที่แล้วครับ (ลองไปหาอ่านดูตอนที่ 1)
การที่เราไม่จดภาษาไทยไปเนี่ย จะเหมือนเป็นการบังคับให้เราใช้สมองเพื่อจดจำ และเมื่อผ่านไป 2-3 วัน เรากลับมาอ่านจะได้ให้สมองใช้เวลานึกคำศัพท์ที่เราแปลความหมายไม่ได้ วิธีนี้แหละครับจะทำให้เราจำศัพท์ได้เร็วมาก
แล้วไม่ใช้แค่จดอย่างเดียวนะครับ ให้ฟังด้วย
จะเห็นว่ามีปุ่มให้กดอยู่ 2 ปุ่ม สีน้ำเงิน กับสีแดง
ปุ่ม 2 ปุ่มนี้คือเสียงเจ้าของภาษาพูดคำศัพท์ครับ
สีน้ำเงิน คือ สำเนียงอังกฤษ (ฺBritish English)
สีแดง คือ สำเนียงอเมริกัน (American English)
ให้เราเลือกฝึกพูดตาม 1 สำเนียงนะครับ ตาามใจชอบเลย
ให้ลองอัดเสียงดูว่า เวลาเราพูดตามสำเนียงไหน เสียงเราฟังดูเหมือนมากกว่า หากเสียงเราไปทางสำเนียงอังกฤษ ก็ให้ฝึกพูดตามสำเนียงอังกฤษนะครับ แต่ถ้าไปอีกสำเนียงก็ฝึกตามสำเนียงนั้น
ต้องฝึกพูดตามและฟังให้ออกด้วยนะครับ เพื่อครั้งหน้าเราได้ยินหรือได้ใช้ จะได้รู้ว่าต้องออกเสียงยังไงให้ฝรั่งเข้าใจ
อ่อ อย่าลืมแปลความหมายคำศัพท์ด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพูดได้สำเนียงเป๊ะ แต่ไม่รู้ความหมายก็ไม่ไหวนะครับ :DD

สรุปนะครับ
1.ท่องคำศัพท์อักษรละ 2 คำหรือ 1 คำ ต่อวัน
2.จดแค่ภาษาอังกฤษ
3.บันทึกเสียงตัวเองแล้วฟัง
4.เลียนแบบเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษาที่สุด

นี่แหละครับแค่นี้เราก็มีวิธีการท่องคำศัพท์แบบมีประสิทธิภาพแล้ว
แล้วผมบอกได้เลยว่า ได้ใช้ทุกคำแน่นอนครับ
เพราะ คำศัพท์3000นี้ คือคำที่ใช้บ่อยที่สุดคำ
มีทางลัดขนาดนี้แล้ว
อย่าท้อนะครับ

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 เคล็ดลับง่ายๆ หายง่วงตอนอ่านหนังสือ

หลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะนำเราไปสู่การหลับฝันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนอ่านหนังสือหรือนั่งอ่านบนเตียงเนี่ยแหล่ะ 55+ เคยเป็นมั้ยครับนั่งอ่านอยู่แล้วไถลไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นท่านอน แล้วก็หลับคาหนังสือไปในที่สุด 55+ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้อยู่ห่างจาก เตียง หมอน โซฟา อะไรที่ให้ความรู้สึกนุ่มๆ เคลิ้มๆ หรือสร้างบรรยากาศถึงการหลับนอนอ่ะครับ ทิ้งไปให้หมด อ่านในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เคยเห็นในหนังมั้ยครับที่แบบปิดไฟมืดๆ แล้วเรามานั่งบนโต๊ะ เปิดไฟเหลืองๆ สลัวๆอ่านหนังสือ บางคนคงแบบอย่างนี้อ่ะดีจัดบรรยากาศการอ่านหนังสือให้โรแมนติก 55+ รับรองว่าเราจะได้โรแมนติกกันถึงในฝันแน่นอนครับ เพราะว่าในการอ่านตาของเราต้องการแสงสว่างที่เพียงพอครับ ถ้าอ่านในที่สลัวๆตาของเราจะต้องทำงานหนัก เมื่ออ่านได้สักพักก็จะเกิดอาการเมื่อยล้าของดวงตา จนต้องหลับเพื่อพักสายตาในที่สุด ดังนั้นถ้าอยากอ่านหนังสือได้นานๆ ต้องอ่านในที่สว่างไว้ครับ step by step ครับ เวลาอ่านหนังสือไปทีละเรื่องอย่าข้ามเรื่องครับ สังเกตุได้จากเวลาเรียนเช่นกันครับ เวลาเราขาดเรียนไปนานๆ พอเข้ามาเรียนแล้วเรียนไม่รู้เรื่องเราก็จะง่วงและหลับลงในที่สุด เพราะงั้นการเรียนและการอ่านเราต้องไปทีละขั้นนะครับ ตามเนื้อหาของมัน จำไว้ครับ ความงงเป็นบ่อเกิดของความง่วงครับ งงมากก็ง่วงมาก งงน้อยก็ง่วงน้อย ไม่งงเลยก็จะไม่ง่วงเลยครับ ^^ กินแต่พอดีครับ การกินอาหารก่อนการเรียนหรืออ่านหนังสือนี่ก็เกี่ยวนะครับ เราควรกินพอดีๆ ไม่ให้อิ่มมากเกินไป ตามคำกล่าวที่ว่า “หนังท้องตึง หนังตาหย่อนครับ” ถ้าอิ่มมากๆจะทำให้เราง่วงครับ พักผ่อนให้เพียงพอด้วยล่ะ เคยรู้สึกมั้ยครับวันไหนที่เรานอนมาเต็มที่ทั้งวันและ จะพยายามนอนอีกเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับเพราะร่างกายเรามันพักผ่อนเต็มที่ไปแล้ว เพราะงั้นการพักผ่อนให้เต็มที่ก็เป็นวิธีป้องกันที่ดีอีกทางหนึ่งครับ อย่าหักโหมให้มากเกินไปครับ ความพอดีอีกแล้วครับ การอ่านหนังสือเนี่ยเราจะต้องใช้สมองไปด้วย แน่นอนว่ายิ่งใช้มากก็จะเหนื่อยล้า เพราะฉะนั้นเราก็ควรมีช่วงเวลาพักครึ่งในการอ่านหนังสือบ้าง แล้วค่อยกลับมาอ่านต่อ วิธีการผ่อนคลายสมองไว้จะมาเล่าในโอกาสหน้านะครับ จบไปแล้วนะครับสำหรับการป้องกันความง่วงต่อไปในกรณีที่เราป้องกันไม่ทันแล้วล่ะจำทำยังไง??

Présentation